คุณสามีมาฟัง “10 คำพูดต้องห้าม”
ทำร้ายจิตใจคุณแม่ลูกอ่อน
คุณแม่ที่กำลังท้อง หรือเพิ่งคลอดลูกมักมีอารมณ์แปรปรวน เครียด และอ่อนไหวง่ายกว่าปกติ คุณสามีทั้งหลายควรเข้าใจว่าภรรยาของคุณต้องการกำลังใจจากคนรักมากที่สุด และอย่าเผลอพูดคำพูดต้องห้ามกับคุณแม่ลูกอ่อนเด็ดขาด! เพราะมันอาจส่งผลกระทบต่อจิตใจคุณแม่อย่างแรง มาดูกันว่า 10 คำพูดต้องห้ามมีคำไหนบ้าง
“ เมื่อไหร่จะลดความอ้วน ”
โดยปกติผู้หญิงมีครรภ์จะมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นมา 10-15 กิโลกรัม เมื่อคลอดลูกน้อย น้ำหนักอาจหายไปเพียง 3-4 กิโลกรัมเท่านั้น คุณแม่ลูกอ่อนหลายคนที่คลอดลูกแล้วอาจยังดูจ้ำม่ำในสายตาสามีอยู่บ้างก็ไม่แปลก รู้แบบนี้คุณสามีให้หยุดคำพูดต้องห้ามเอาไว้เลย คำว่าเมื่อไหร่จะลดความอ้วนเนี่ย ถ้าคุณแม่ได้ยินต้องเสียความมั่นใจมากแน่ ๆ
หันมาพูดสิ่งนี้ : “เรามาหาเวลาว่างไปออกกำลังกายกันไหมแม่ พ่อว่าน้ำหนักน่าจะลด สุขภาพดีด้วยนะ” หันมาพูดประโยคเชิญชวนเหล่านี้ คือการแสดงให้เห็นถึงความเอาใจใส่ของสามี จะช่วยให้คุณแม่ลูกอ่อนมีกำลังใจเพิ่มมากขึ้น
“ กับข้าวไม่อร่อย ทำอะไรมาให้กิน ”
บางครั้งคุณพ่ออาจเผลอวิจารณ์ด้วยคำพูดต้องห้ามในเรื่องรสชาติอาหารที่คุณแม่ลูกอ่อนทำว่าไม่อร่อย ซึ่ง Cotton Baby เชื่อว่าไม่มีใครอยากให้อาหารที่ทำออกมานั้นไม่อร่อย ถ้าเจอคำพูดต้องห้ามเหล่านี้ไป คุณแม่ลูกอ่อนยิ่งหมดกำลังใจในการทำอาหารไปนะคะ
หันมาพูดสิ่งนี้ : ลองเปลี่ยนมาพูดว่า “ วันนี้อร่อยใช้ได้เลยนะ แต่เผ็ดไปนิดนึง รอบหน้าลดพริกสักเม็ดนะแม่ อร่อยเหาะ! ” การวิจารณ์กับคนในครอบครัว หรือคนรักอาจจะต้องใช้คำพูดที่รักษาน้ำใจกันเข้าไว้ เพราะหากคุณพ่อเผลอวิจารณ์ด้วยคำพูดต้องห้าม อาจไม่ได้กินอาหารฝีมือคุณแม่อีกแล้วนะ
“ ทำไมบ้านรก วัน ๆ ทำอะไรบ้าง ”
ลำพังคุณแม่ลูกอ่อนเลี้ยงลูกทั้งวันก็เหนื่อยจะแย่แล้ว ทั้งป้อนข้าว อาบน้ำ เปลี่ยนผ้าอ้อม ยังไม่นับที่ต้องกล่อมเจ้าหนูให้หลับอีก แค่นี้ก็หมดไปแล้วทั้งวัน หากคุณพ่อกลับมาก็อย่าบ่นว่าทำไมบ้านรก วัน ๆ ทำอะไรบ้าง แบบนี้เป็นคำพูดต้องห้ามเลยนะ! ถ้าคุณแม่ได้ยินต้องรู้สึกเหนื่อยหนักกว่าเดิมแน่นอน
หันมาพูดสิ่งนี้ : “ เดี๋ยววันนี้พ่อช่วยทำความสะอาดบ้านเอง เลี้ยงลูกคงเหนื่อยแย่แล้วใช่มั้ย ” หากคุณพ่อเลือกที่จะไม่พูดคำพูดต้องห้าม หันมาช่วยคุณแม่ทำความสะอาดบ้านแทน จะช่วยเติมพลังให้คุณแม่ลูกอ่อนขึ้นเยอะแล้วนะ
“ เรื่องมากจริง ๆ เลย ”
อย่าว่าแต่คุณแม่ลูกอ่อน เลยค่ะ ใครเจอคำพูดต้องห้ามคำนี้เข้าเจ็บปวดแน่นอน แม้แต่คุณพ่อเอง ถ้าโดนคำนี้ก็อาจจะเซไม่ใช่น้อยเหมือนกัน เพราะฉะนั้นใจเขาใจเราเนอะ หากคุณแม่ลูกอ่อนขอให้ช่วยทำอะไรบ่อยก็ควรเข้าใจเธอหน่อย ถึงช่วงนี้คุณแม่จะงอแงหนัก แต่การไม่พูดคำพูดแย่ ๆ ออกมา ถือเป็นการใส่ใจกัน และป้องกันการทะเลาะกันอีกด้วยนะ
หันมาพูดสิ่งนี้ : “ อยากได้อะไรมั้ย เดี๋ยวไปหยิบให้นะ ” หรือ “ พ่อนวดให้ไหม เห็นแม่เหนื่อย ๆ ” เป็นการช่วยเหลือเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่จะช่วยลดภาระและความเหนื่อยล้าของคุณแม่ลูกอ่อนไปได้เยอะทีเดียว
“ ลูกร้องอีกแล้ว ดูลูกยังไง ”
การที่เจ้าหนูร้องงอแงอาจมีหลายสาเหตุ เช่น ผ้าอ้อมแฉะ หิวนม หรือง่วงนอน ซึ่งบางครั้งก็ไม่รู้จริง ๆ ว่าลูกร้องเพราะอะไร คนเป็นแม่ยิ่งเห็นลูกร้องไห้ยิ่งทรมานใจ เห็นแบบนี้ก็อย่าบ่นเธอเลยนะคุณพ่อ เพราะการพูดคำพูดต้องห้ามประโยคนี้ออกมา อาจทำให้คุณแม่สติขาดผึง น้อยใจจนไม่อยากทำอะไรก็ได้
หันมาพูดสิ่งนี้ : “ มีอะไรให้ช่วยไหม เดี๋ยวพ่อดูให้นะว่าลูกร้องเพราะอะไร ” ลองเปลี่ยนจากคำพูดต้องห้ามมาเป็นให้กำลังใจหรือช่วยกันหาสาเหตุที่เจ้าหนูร้องไห้งอแงดีกว่า จะยิ่งทำให้คุณแม่ลูกอ่อนชื่นใจมากขึ้น
“ ทำไมโทรมขนาดนี้ ไม่รู้จักดูแลตัวเองบ้าง ”
ไม่มีผู้หญิงคนไหนอยากให้ตัวเองดูโทรมหรอกนะ! แม้แต่คุณแม่ลูกอ่อนก็เช่นกัน แต่จะเอาเรี่ยวแรงที่ไหนมาแต่งตัวสวยทุกวัน ตั้งแต่มีลูกเวลาดูแลตัวเองก็แทบจะไม่มี แล้วยิ่งคุณพ่อบ่นด้วยคำพูดต้องห้ามหาว่าโทรม ยิ่งทำให้คุณแม่หมดความมั่นใจและรู้สึกแย่
หันมาพูดสิ่งนี้ : “ วันนี้แม่คงจะเหนื่อยมาทั้งวัน ไปอาบน้ำอาบท่าให้สดชื่นก่อนไหม เดี๋ยวทางนี้พ่อจัดการเอง ” แค่คุณพ่ออาสาดูแลเจ้าตัวเล็กชั่วคราว แล้วปล่อยให้คุณแม่มีเวลาดูแลตัวเอง แค่นี้คุณแม่ลูกอ่อนก็จะมีเวลาพักผ่อนร่างกาย แถมได้พลังใจเต็มเปี่ยมแล้วล่ะ
“ ขี้บ่นจัง เลิกบ่นสักที ”
ทุกคนต่างก็มีหน้าที่เป็นของตัวเอง คุณพ่อออกไปทำงาน คุณแม่ลูกอ่อนเลี้ยงลูกอยู่บ้าน เจอกันก็คงอยากระบายให้กันฟังเป็นธรรมดา ซึ่งบ่อยครั้งคุณแม่ลูกอ่อนเผลอบ่นให้เค้าพ่อฟังจนคุณพ่อเลยจะหลุดคำพูดต้องห้ามอย่างคำว่า “ขี้บ่น” ออกมา จนทำให้คุณแม่รู้สึกน้อยใจ
หันมาพูดสิ่งนี้ : พอเธอบ่นก็พูดสวนไปเลยว่า “ เก่งมาก ฉันเข้าใจเธอนะ อยากให้ช่วยตรงไหนก็บอกได้เลย ” เพราะต่างคนก็ต่างเหนื่อย หลีกเลี่ยงคำพูดต้องห้ามไว้ดีกว่า ไม่ว่าจะสามีหรือภรรยาที่เจอคำพูดนี้ไปก็พาให้ใจเสียกันทั้งคู่นะ
“ เลี้ยงลูกเป็นหน้าที่คุณ ไม่ใช่หน้าที่ผม ”
การเลี้ยงลูกไม่ใช่แค่หน้าที่ของแม่นะ แต่เป็นทั้งของพ่อและแม่ต่างต้องช่วยกันดูแลกันและกัน ถ้าคุณพ่อจะพูดว่าการเลี้ยงลูกไม่ใช่หน้าที่ของสามี นี่เป็นคำพูดต้องห้ามมาก ๆ ครอบครัวที่ดีต้องช่วยกันหล่อเลี้ยงเจ้าหนูให้เติบโตมาอย่างมีคุณภาพ วันไหนที่คุณแม่ยุ่ง คุณพ่ออาจจะใช้เวลาอยู่กับลูกมากขึ้น เล่นกับลูกบ้าง สร้างความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้น
หันมาพูดสิ่งนี้ : “ ถ้างานยุ่ง เดี๋ยวพ่อช่วยดูแลลูกเอง คุณแม่ไปทำธุระให้เสร็จก่อนก็ได้ครับ ” แค่นี้คุณแม่ลูกอ่อนก็ดีใจแล้วล่ะ
“ อยู่บ้านเฉย ๆ ทำไม หางานทำสิ ”
คุณพ่ออาจจะยังไม่รู้ว่าการเป็นแม่ลูกอ่อนเลี้ยงลูกอยู่บ้านนั้นเหนื่อยแค่ไหน มีหลายสิ่งที่คุณแม่ต้องทำภายใน 1 วัน จะปล่อยให้คนอื่นเลี้ยงก็ไม่ไว้ใจ เพราะฉะนั้นหากคุณพ่อหลีกเลี่ยงการพูดคำพูดต้องห้ามสุดแสนใจร้ายเช่นนั้นออกมา เชื่อได้เลยว่าสงครามในบ้านจะไม่เกิดอย่างแน่นอน
หันมาพูดสิ่งนี้ : “ แม่อยู่บ้านเบื่อไหม ลองหางานที่ทำที่บ้านได้ก็ดีนะ เผื่อเป็นรายได้เสริมให้ตัวเล็ก ” ใช้คำพูดเชิงเสนอความคิดเห็นแทนการพูดในแง่ลบ จะได้ไม่ไปทำร้ายจิตใจของคุณแม่ เท่านี้เธอก็ชื่นใจขึ้นแล้ว ถ้ารู้ว่ายังไงคุณพ่อก็คอยสนับสนุนเสมอ
“ อย่างี่เง่าได้มั้ย ”
คำว่างี่เง่าถือเป็นคำพูดต้องห้ามที่ไม่ควรพูดกับคุณแม่เป็นอย่างยิ่ง เป็นคำพูดทำร้ายจิตใจมาก ๆ แต่คงไม่มีคุณแม่คนไหนอยากเป็น เพียงแต่อาจจะมีบางช่วงเวลาที่มีความคิดเห็นที่ไม่ตรงกัน ต้องปรับจูนความเข้าใจกันระหว่างคุณแม่ลูกอ่อนและคุณพ่อบ่อย ๆ ไม่ควรพูดคำพูดต้องห้ามออกมา
หันมาพูดสิ่งนี้ : “ เราค่อย ๆ คุยกันก่อนดีไหม พ่อเข้าใจแม่นะ ” ถือเป็นการหลีกเลี่ยงการทะเลาะได้อย่างดี ยิ่งเป็นคุณแม่ลูกอ่อนด้วยแล้ว อารมณ์มักอ่อนไหวเป็นพิเศษ ดังนั้นเลือกคุยกันด้วยเหตุผลแทนความรู้สึก ถือว่าเป็นสิ่งที่จะช่วยประครองความสัมพันธ์ได้ดี
ครอบครัวที่อบอุ่นต้องเห็นอกเห็นใจกัน ช่วยเหลือซึ่งกันและกันเมื่อยามลำบาก หรือหากเกิดเหตุการณ์ที่ส่งผลต่ออารมณ์ก็ไม่ควรพูดคำพูดต้องห้ามออกมา เพราะจะทำให้สถานการณ์ตอนนั้นแย่ลงไปอีก ยิ่งคุณแม่เป็นคุณแม่ลูกอ่อนด้วยแล้ว อารมณ์มักแปรปรวนได้ง่ายกว่าปกติ เป็นไปได้คุณพ่อควรหลีกเลี่ยงคำพูดต้องห้าม เพื่อความสงบสุขและความอบอุ่นให้กับเจ้าหนูและชีวิตครอบครัวของคุณ