สีอุจจาระทารกกำลังบอกอะไรคุณแม่ สีแบบไหนผิดปกติบ้าง?
คุณพ่อคุณแม่หลายคนอาจจะยังไม่ทราบว่าสีอุจจาระและลักษณะอุจจาระของลูกน้อยนั้นสามารถบ่งบอกถึงสุขภาพได้ ซึ่งก็จะมีการเปลี่ยนแปลงไปตามอาหารที่กิน คุณแม่บางคนก็เป็นกังวลเมื่อลูกมีอุจจาระสีเขียว หรือสีอื่น ๆ ที่ไม่คุ้นเคยจะเป็นอันตรายหรือเปล่า เพราะแบบนี้… Cotton Baby เลยอยากให้หมั่นสังเกตสีและลักษณะอุจจาระของลูกน้อยกันสักหน่อย หากเราทราบว่าอุจจาระสีนี้กำลังเตือนปัญหาสุขภาพด้านไหนอยู่จะได้ดูแลรักษาได้ทันเวลานะคะ
สีอุจจาระของลูกกำลังบอกอะไรเราอยู่ ?
1. สีอุจจาระ เขียวปนดำ (ขี้เทา)
สีอุจจาระเขียวปนดำ หรือที่เราเรียกกันว่า “ขี้เทา” เป็นอุจจาระแรกของทารกที่จะถ่ายออกมาหลังคลอดภายใน 2 วัน (ไม่เกิน 48 ชั่วโมง) นอกจากจะมีสีเขียวเข้มคล้ำ ๆ แล้วยังมีลักษณะที่เหนียว เกิดจากลูกกลืนน้ำดี น้ำคร่ำเข้าไป แล้วระบบย่อยอาหารก็ทำงานตั้งแต่ยังอยู่ในครรภ์คุณแม่แล้วนั่นเองค่ะ
การกลืนน้ำคร่ำที่ประกอบด้วยเซลล์ผิวหนัง ขน เยื่อบุของทางเดินอาหาร และสารที่สร้างมาจากทางเดินอาหารของทารกเองอย่างพวกน้ำย่อย น้ำดี จึงทำให้อุจจาระมีสีเขียวเข้มออกดำและมีลักษณะเหนียวข้น ซึ่งเป็นเรื่องปกตินะคะ ถือว่าระบบย่อยอาหารทำงานได้ดี
2. สีอุจจาระ เหลืองมัสตาร์ด
สีอุจจาระแบบนี้บ่งบอกว่าเป็นอุจจาระของเด็กที่กินนมแม่เพียงอย่างเดียว อาจมีลักษณะคล้ายแป้งเปียก หรือเป็นเม็ด เนื้อนิ่ม ออกเหลว คล้ายท้องเสีย แต่อุจจาระที่ดีสำหรับลูกที่กินนมแม่จะมีกลิ่นแตกต่างจากอุจจาระทั่วไป โดยปกติเด็กจะขับถ่าย 6 – 10 ครั้งต่อวัน หรือถ้าน้อยกว่านี้ก็ยังถือว่าเป็นปกติอยู่ค่ะ
3. สีอุจจาระ น้ำตาล
ลักษณะอุจจาระสีน้ำตาล มีความเหนียวคล้ายแป้งเปียกหรือเนยถั่ว บ่งบอกว่าเป็นอุจจาระของเด็กที่กินนมผง ถือว่าเป็นสีที่ปกติ บางทีอาจมีลักษณะเป็นก้อนและมีกลิ่นแรงมากได้ด้วย สำหรับเด็กที่กินนมผงจะขับถ่ายน้อยกว่าเด็กที่กินนมแม่ มีขนาดและกลิ่นอุจจาระที่ใหญ่และแรงกว่าด้วยค่ะ ซึ่งไม่ต้องเป็นกังวลไปนะคะถือว่ายังปกติอยู่
4. สีอุจจาระ เขียว
หากสีอุจจาระของลูกมีสีเขียว คุณแม่ไม่ต้องตกใจไปว่าทำไมถึงออกมาแบบที่เราไม่คุนเคย เป็นเพราะว่าลูกได้รับธาตุเหล็กในนมเยอะ ทั้งนมแม่และนมผสม ทำให้ลำไส้ดูดซึมไม่หมด ธาตุเหล็กจึงออกมากับอุจจาระสีเขียวนั่นเองค่ะ
กรณีที่ควรระวังคือ ลูกถ่ายออกมาเป็นอุจจาระสีเขียวมีมูกปน มีกลิ่นเหม็นคาว หรือถ่ายเหลวเป็นสีเขียว รวมถึงมีอาการผิดปกติร่วมด้วย เช่น มีไข้ ร้องงอแง ซึม แบบนี้ควรปรึกษาแพทย์ เพราะอาจเกิดการติดเชื้อได้ค่ะ
5. สีอุจจาระ ขาวซีด
เมื่อไหร่ที่ลูกมีสีอุจจาระขาวซีด ถือว่าเป็นความผิดปกติที่เกิดจากระบบย่อยอาหาร หรือไม่ก็จากตับผลิตน้ำดีได้น้อยกว่าปกติ ควรปรึกษาแพทย์อย่างด่วนที่สุด อย่าปล่อยไว้เด็ดขาดเลยนะคะ
6. สีอุจจาระ ดำเหมือนถ่าน
เป็นอีกหนึ่งสีอุจจาระที่บ่งบอกว่าผิดปกติ หลังจากที่ลูกถ่ายขี้เทาออกมาแล้ว แต่ยังถ่ายออกมาเป็นอุจจาระสีดำอยู่ อาจเกิดได้จาก 2 ปัจจัย อย่างแรก เป็นเพราะลูกได้รับธาตุเหล็กมากเกินไป ถ้าไม่ใช่ ก็อาจมาจากระบบย่อยอาหาร ทางที่ดีควรพาไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุจะดีกว่านะคะ
7. สีอุจจาระ แดงสด
ถ้าลูกขับถ่ายออกมาเป็นสีอุจจาระที่แดงอย่างเดียว ไม่มีอย่างอื่นปนออกมาด้วย ถือเป็นอุจจาระที่ปกติ เกิดจากการกินอาหารที่มีสีแดงเข้าไป จึงถ่ายออกมาเป็นสีเดียวกัน แต่ถ้าอุจจาระมีสีแดงแล้วออกมาพร้อมกับเลือดปนมาด้วยถือว่าผิดปกติ บ่งบอกถึงสัญญาณเตือนว่าลูกอาจจะกำลังแพ้นม นอกจากนี้ยังต้องสังเกตด้วยว่าอุจจาระมีลักษณะที่แข็งหรือไม่ เพราะอาจเกิดจากอาการท้องผูกได้ ควรพาพบแพทย์เพื่อรักษาได้ตรงสาเหตุ
ลักษณะอุจจาระที่ผิดปกติ ควรพาลูกน้อยพบแพทย์
- ลักษณะอุจจาระมีความเหลว เป็นน้ำไม่มีเนื้อปน และถ่ายบ่อย เกิดจากอาการท้องเสีย แนะนำให้พาพบแพทย์โดยด่วน เพื่อป้องกันอาการช็อกเพราะขาดน้ำ และไม่ควรซื้อยามากินเอง
- ลักษณะอุจจาระมีเลือดปน เกิดได้จาก 2 สาเหตุหลัก ๆ คือ
ปนมาในลักษณะเป็นเส้นเลือดจาง ๆ ที่เคลือบอุจจาระไว้ ไม่ได้อยู่เนื้อข้างใน อาจเป็นอาการท้องผูก ส่งผลให้มีลักษณะแข็ง เวลาเบ่งจึงเกิดการเสียดสี ทำให้เกิดแผล มีเลือดปนออกมา
2. ปนมากับเนื้ออุจจาระเลย อาจเกิดจากความผิดปกติของโครงสร้างลำไส้ หรือเป็นการติดเชื้อในลำไส้อย่างรุนแรง ควรพาไปพบแพทย์โดยด่วน - ลักษณะอุจจาระแข็งเป็นก้อน มักมาจากอาการท้องผูก ควรรักษาอย่างเร็วที่สุด เพื่อป้องกันท้องผูกเรื้อรัง
- ลักษณะอุจจาระมีกลิ่นเหม็น อาจเป็นสัญญาณเตือนถึงการแพ้อาหาร หรือเกิดการติดเชื้อ
- ลักษณะอุจจาระเป็นมูกใส เกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น การระคายเคืองลำไส้, อาหารไม่ย่อย, มีการติดเชื้อเกิดขึ้น, แพ้อาหาร รวมถึงมาจากน้ำมูกหรือเสมหะที่กลืนลงในขณะที่ลูกมีอาการไข้หวัด ควรพาพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยหาสาเหตุ
เรื่องสีอุจจาระและลักษณะอุจจาระของลูก ถือเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่สำคัญและควรหมั่นสังเกตเป็นประจำ หากเกิดความผิดปกติในเรื่องใดขึ้นมาจะได้รีบดูแลรักษาได้อย่างทันเวลา เพราะอาการบางกรณีหากปล่อยไว้นานก็อาจส่งผลเรื้อรังถึงสุขภาพในอนาคตของลูกได้เลยนะคะคุณแม่