Attachment Theory ทฤษฎีสร้างสายใยรักในครอบครัว
เราทุกคนเกิดมาพร้อมสายใยรักที่เชื่อมโยงกันไว้อย่างแน่นแฟ้น โดยเฉพาะกับพ่อแม่และครอบครัว ทำให้บ่อยครั้งที่เจ้าตัวเล็กร้องไห้งอแงสามารถกลับมาสงบอีกครั้งได้ง่าย ๆ เพียงแค่อยู่ใกล้พ่อแม่ Cotton Baby จะพาคุณพ่อคุณแม่ทุกท่านไปทำความรู้จักกับ Attachment Theory หรือทฤษฎีความผูกพัน เพื่อให้เข้าใจและเสริมสร้างความสัมพันธ์อันแข็งแกร่งยิ่งขึ้นในครอบครัว
Attachment Theory คืออะไร?
Attachment Theory หรือทฤษฎีความผูกพัน ที่คิดค้นขึ้นโดย จอห์น โบวลบี้ (John Bowlby) นักจิตวิทยาชาวอังกฤษ อธิบายถึงความผูกพันทางอารมณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างเด็กกับผู้ดูแลหลักอย่างพ่อแม่ โดยเชื่อว่าเด็กเกิดมาพร้อมความต้องการในการสร้างความสัมพันธ์เพื่อความอยู่รอด และการสร้างสายใยรักตั้งแต่ช่วงแรกของชีวิตมีผลกระทบต่อพัฒนาการทางอารมณ์และการสร้างความสัมพันธ์ในอนาคต
โบวลบี้สังเกตว่า ความวิตกกังวลที่เกิดจากการแยกจากผู้ดูแลหลักไม่สามารถลดลงได้จากการให้อาหารเพียงอย่างเดียว เขาพบว่าความผูกพันนี้มีลักษณะพฤติกรรมและแรงจูงใจที่ชัดเจน เมื่อเด็กรู้สึกกลัวจะหันไปหาผู้ดูแลหลักเพื่อหาความสบายใจ
Attachment Theory จึงถือเป็นรากฐานในการวางความสัมพันธ์ในครอบครัวให้ลูกน้อย และจะส่งผลต่อวิธีการจัดการความเครียดและสร้างความสัมพันธ์ในอนาคตของลูก
ปัจจัยการสร้างความผูกพันตามแนวคิด Attachment Theory
จากแนวคิด Attachment Theory ระบุว่าเด็กได้รับอิทธิพลในการสร้างความสัมพันธ์กับผู้ดูแลจากหลายปัจจัย ดังนี้
- ปัจจัยของผู้ดูแล เช่น อายุ การศึกษา ความมั่นคงทางการเงิน จิตสังคม สุขภาพ และการดูแลหลังคลอด
- ปัจจัยของเด็ก เช่น ปัญหาสุขภาพ การคลอดก่อนกำหนด เพศ และอารมณ์
- ปัจจัยทางพันธุกรรม เนื่องจากการแปรผันในยีนตัวรับออกซิโทซิน (Oxytocin receptor gene) อาจส่งผลต่อความสามารถในการสร้างสายสัมพันธ์ของเด็ก ทำให้เด็กรู้สึกไม่ไว้วางใจ
- ปัจจัยทางสิ่งแวดล้อม ที่มีความเครียดสูง เช่น ความไม่มั่นคงทางการเงิน หรือความขัดแย้งในครอบครัว
- ปัจจัยทางวัฒนธรรม ซึ่งในบางประเทศจะเน้นการพึ่งพากันและกัน แต่ในบางประเทศมุ่งเน้นให้ดูแลตัวเองเพื่อความเป็นอิสระ
- ปัจจัยอื่น ๆ เช่น เด็กขาดโอกาสในการสร้างความสัมพันธ์เนื่องจากไม่มีผู้ดูแลหลัก และคุณภาพของการดูแล
Attachment Theory 4 ขั้นตอนสร้างความผูกพัน
จากแนวคิด Attachment Theory ระบุว่าเด็กจะพัฒนาความผูกพันผ่านหลายระยะตั้งแต่แรกเกิดจนถึงวัยเด็ก ดังนี้
- ระยะก่อนผูกพัน (Pre-Attachment Stage)
ในช่วง 3 เดือนแรก เด็กจังไม่แสดงความผูกพันกับใครเป็นพิเศษ แต่จะส่งสัญญาณเพื่อดึงดูดความสนใจ และเมื่อได้รับการตอบสนองที่ดีก็จะช่วยกระตุ้นความผูกพัน ซึ่งเป็นการเริ่มต้นของการสร้างสายสัมพันธ์ตามหลัก Attachment Theory
- ระยะแยกแยะผู้ดูแล (Indiscriminate Attachment)
เมื่อเด็กอายุ 6 สัปดาห์ถึง 7 เดือน เด็กจะเริ่มแสดงความผูกพันระหว่างผู้ดูแลหลักและผู้ดูแลรอง ถึงแม้ว่าจะรู้สึกถึงความไว้ใจต่อผู้ดูแลหลัก แต่ก็ยังยอมรับการดูแลจากผู้ดูแลรอง รวมถึงยังไม่รู้สึกความกังวลเมื่อต้องแยกจากผู้ดูแลหลัก นับเป็นหนึ่งพัฒนาการตามแนวคิด Attachment Theory
- ระยะผูกพันชัดเจน (Discriminate Attachment)
เมื่อเด็กอายุ 7 ถึง 11 เดือน เด็กจะเริ่มแสดงความผูกพันอย่างชัดเจนต่อผู้ดูแลหลัก และเริ่มมีอาการกังวลเมื่อถูกแยกจากผู้ดูแลหลัก รวมถึงหวาดกลัวคนแปลกหน้า ซึ่งเป็นลักษณะสำคัญใน Attachment Theory ที่แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมโยงอารมณ์ที่มั่นคง
- ระยะผูกพันกับหลายบุคคล (Multiple Attachments)
หลังจากอายุ 9 เดือน เด็กจะเริ่มสร้างความผูกพันกับผู้ดูแลคนอื่น ๆ นอกเหนือจากผู้ดูแลหลัก และเริ่มเข้าใจว่าผู้ดูแลหลักจะกลับมา ทำให้รู้สึกวิตกกังวลน้อยลงเมื่อต้องแยกจากผู้ดูแลหลัก ซึ่งการพัฒนานี้เป็นผลจากหลักการ Attachment Theory ที่แสดงถึงความยืดหยุ่นและการสร้างความสัมพันธ์หลายรูปแบบในชีวิตเด็ก
ความผูกพัน 4 ประเภทตาม Attachment Theory
จากทฤษฎี Attachment Theory ได้มีการแบ่งความผูกพันไว้ 4 รูปแบบ ได้แก่
- Ambivalent attachment คือเด็กที่มีความผูกพันแบบลังเล ซึ่งจะมีความทุกข์เมื่อพ่อแม่หรือผู้ดูแลจากไป และไม่สามารถพึ่งพาผู้ดูแลหลักได้ เนื่องจากผู้ดูแลขาดความพร้อมในการตอบสนองความต้องการของเด็ก โดยใน Attachment Theory การตอบสนองที่ไม่สม่ำเสมอสามารถทำให้เด็กเกิดความไม่มั่นใจและวิตกกังวล
- Avoidant Attachment คือเด็กที่มีความผูกพันแบบหลีกเลี่ยง ที่มักจะหลีกเลี่ยงพ่อแม่หรือผู้ดูแล และปฏิบัติต่อผู้ดูแลไม่ต่างจากคนแปลกหน้า อาจเกิดจากการถูกละเลยหรือทำร้ายจิตใจ ทำให้เด็กเลือกที่จะไม่ขอความช่วยเหลือผู้ดูแลในอนาคต ซึ่งใน Attachment Theory ความรู้สึกของการไม่พึ่งพาผู้ดูแลเป็นผลมาจากการไม่ตอบสนองต่อความต้องการของเด็กในอดีต
- Disorganized Attachment คือเด็กที่มีความผูกพันแบบไม่เป็นระเบียบ ซึ่งมักจะแสดงออกผ่านพฤติกรรมสับสน งุนงง และอาจหลีกเลี่ยงหรือขัดขืนผู้ดูแล เนื่องจากพฤติกรรมที่ไม่แน่นอนของผู้ดูแล ที่บางครั้งก็ทำให้เด็กได้รับการปลอบโยน แต่บางครั้งก็เป็นคนที่ทำให้เด็กรู้สึกกลัว โดย Attachment Theory ชี้ให้เห็นว่าความไม่มั่นคงในพฤติกรรมของผู้ดูแลสามารถทำให้เด็กมีความสับสนและขัดแย้งในความผูกพัน
- Secure Attachment คือเด็กที่มีความผูกพันแบบมั่นคง สามารถพึ่งพาผู้ดูแลได้ โดยจะแสดงความรู้สึกเศร้าเมื่อต้องแยกจากกัน และมีความสุขเมื่อกลับมาเจอกัน รวมถึงมีความรู้สึกมั่นใจว่าผู้ดูแลจะกลับมาอย่างแน่นอน ซึ่งใน Attachment Theory ความมั่นคงนี้เกิดขึ้นจากการที่ผู้ดูแลสามารถตอบสนองความต้องการของเด็กได้อย่างสม่ำเสมอและเป็นไปในทางที่คาดหวัง
สร้างความผูกพันอย่างมั่นคงด้วย Attachment Theory
การสร้างความผูกพันที่มั่นคงให้ลูกตามแนวคิด Attachment Theory สิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ควรมีให้ลูกมีดังนี้
การยืนยันความรู้สึก
ใน Attachment Theory การยืนยันความรู้สึกของลูกจะช่วยสร้างความมั่นใจให้กับลูกในความสัมพันธ์ และมีแนวโน้มที่จะเปิดใจรับความผูกพันมากยิ่งขึ้น
ความรัก
ตาม Attachment Theory ความรักจากพ่อแม่ทำให้ลูกสามารถสร้างความผูกพันที่มั่นคงและมีความสุขในความสัมพันธ์ โดยอาจแสดงออกผ่านการพูด การชมเชย การสัมผัส เป็นต้น
ขอบเขต
ใน Attachment Theory การกำหนดขอบเขตที่ชัดเจนจะช่วยให้เด็กมีความรู้สึกปลอดภัยและเชื่อมั่นในความรักของพ่อแม่ แต่ขอบเขตนั้นต้องไม่ทำให้ลูกรู้สึกอึดอัดเกินไปจนเป็นการจำกัดอิสรภาพ
ช่วงเวลาที่มีคุณภาพ
ใน Attachment Theory การใช้เวลาที่มีคุณภาพร่วมกันจะช่วยเสริมสร้างความผูกพันที่มั่นคงและยั่งยืน โดยเฉพาะในช่วงแรกเกิดที่ลูกจะพึ่งพาพ่อแม่เป็นอย่างมาก เนื่องจากพ่อแม่คือทุกอย่างของเขา
การเข้าใจ Attachment Theory จะช่วยให้คุณพ่อคุณแม่สร้างสายสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งกับลูกได้ตั้งแต่แรกเกิด แล้วอย่าลืมที่จะมอบความรักและให้ในสิ่งที่ลูกต้องการอย่างใกล้ชิด เพราะทุกการกระทำของเราคือการปลูกต้นไม้แห่งความมั่นคงในใจลูก เพื่อให้ลูกเติบโตมาอย่างมั่นใจว่าได้รับความรักอย่างเต็มที่