คุณแม่มือใหม่ต้องรู้! วิธีตรวจการตั้งครรภ์ที่ถูกต้องทำอย่างไร
การตรวจการตั้งครรภ์ คือขั้นตอนสำคัญที่เป็นพลังแห่งความสุขของหลาย ๆ คู่รักที่กำลังลุ้นว่าเมื่อไหร่จะมีเจ้าตัวเล็กมาวิ่งเล่นในบ้านสักที ทาง Cotton Baby เลยมีวิธีตรวจการตั้งครรภ์ที่ถูกต้องและได้ผลลัพธ์ที่แม่นยำมาบอกกัน พร้อมกับอาการสัญญาณเตือนต่าง ๆ ที่จะทำให้รู้ว่า เรากำลังจะได้เป็นคุณพ่อคุณแม่มือใหม่แล้ว
สัญญาณเตือนแบบนี้ที่เรียกว่า ตั้งครรภ์
ก่อนจะไปถึงการตรวจการตั้งครรภ์ ผู้หญิงหลายคนมักเหมารวมไปแล้วว่าการขาดประจำเดือนสัก 5 – 7 วัน หรือมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน นั่นแปลว่าฉันท้องแน่นอน ซึ่งในความเป็นจริงแล้วแค่เราเครียด หรือนอนไม่พอ ก็อาจทำให้ประจำเดือนคลาดเคลื่อนได้แล้ว ที่สำคัญอาการของคนท้องก็สามารถเกิดขึ้นได้หลากหลายและแตกต่างกันออกไปด้วย เพราะแบบนี้เราจึงได้รวบรวมอาการสัญญาณเตือนต่าง ๆ ที่บ่งบอกว่า นี่แหละ “ท้องแล้ว” มาบอกกันค่ะ
- ประจำเดือนที่เคยมาอย่างสม่ำเสมอหรือตรงเวลา ขาดหายไป และเพื่อความมั่นใจ ควรตรวจการตั้งครรภ์ให้แน่ชัด เพราะการที่ประจำเดือนขาดไป อาจมีสาเหตุอื่น เช่น ความเครียด หรือป่วย
- คลื่นไส้ อาเจียน อีกหนึ่งสัญลักษณ์ที่พบได้บ่อย แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะต้องแพ้ท้อง เพราะคุณแม่บางคนก็ไม่มีอาการเลย กลับกันในบางรายที่แพ้ท้องอย่างหนัก
- มีอาการเจ็บหน้าอก คัดเต้านม รู้สึกว่าหน้าอกไวต่อการสัมผัส หรือรู้สึกตึง ๆ คล้ายกับช่วงที่มีประจำเดือน
- รู้สึกเหนื่อยล้า ทั้ง ๆ ที่ไม่ค่อยได้ทำอะไร และรู้สึกง่วงเหงาหาวนอนตลอดทั้งวัน ดั่งคำที่คนชอบบอกว่า คนท้องนั้นจะชอบนอน
- จมูกไว ได้กลิ่นอะไรก็เหม็น จนอยากจะอาเจียนตลอดเวลา แม้กระทั่งกลิ่นน้ำหอมประจำตัวก็ยังทนไม่ได้
- เลือดออกทางช่องคลอด หรือที่เรารู้จักกันว่าเป็น เลือดล้างหน้าเด็ก มักจะมาในช่วงเวลาใกล้เคียงกับประจำเดือน แต่จะมีสีชมพูจาง ๆ และจะหยุดหายไปเองภายใน 1 – 2 วัน
- มีตกขาว เกิดจากฮอร์โมนเอสโตรเจนที่เปลี่ยนแปลง ทำให้กลายเป็นตกขาวได้ แต่ไม่เป็นอันตรายใด ๆ
- ปัสสาวะบ่อยขึ้น หลังขาดประจำเดือนไป 1 – 2 สัปดาห์ เพราะไตจะขับของเสียในลักษณะของเหลวออกมามากขึ้น
- มีอารมณ์โกรธและหงุดหงิดง่าย เกิดจากร่างกายที่เปลี่ยนแปลงและกำลังปรับตัวเข้าสู่สมดุลใหม่
อาการที่บ่งบอกว่าตั้งครรภ์นั้น ส่วนใหญ่คล้ายคลึงกันก็จริง แต่ก็มีหลายอาการที่อาจเกิดขึ้นกับคุณแม่บางคนเท่านั้น ซึ่งสำหรับคุณแม่บางคนก็แทบไม่มีอาการอะไรแสดงออกมาเลยก็ได้ ฉะนั้นเราจึงต้องใช้วิธีตรวจการตั้งครรภ์ เพื่อให้ได้ความมั่นใจมากขึ้น
วิธีตรวจการตั้งครรภ์มีแบบไหนบ้าง ?
1. ตรวจการตั้งครรภ์ด้วยตัวเอง
- ตรวจการตั้งครรภ์ โดยใช้ชุดทดสอบการตั้งครรภ์ที่สามารถหาซื้อได้ง่ายตามร้ายขายยาทั่วไป เป็นวิธีการตรวจปัสสาวะ มีด้วยกัน 3 แบบ คือ
– แบบจุ่ม (Test Strip) จุ่มแท่งตรวจลงในปัสสาวะที่รองไว้ ประมาณ 10 วินาที รอจนแถบสีขึ้น
– แบบหยด (Pregnancy Test Cassette) หยดปัสสาวะลงบนตลับทดสอบ ทิ้งไว้ประมาณ 5 นาที รอดูผลทดสอบ
– แบบปัสสาวะผ่าน (Pregnancy Midstream Tests) ปัสสาวะผ่านที่ดูดซับน้ำให้ชุ่ม วางแท่งทดสอบแนวราบ รอประมาณ 3 – 5 นาที แล้วดูผล
ทั้งหมดนี้จะแสดงผลเป็น แถบขีดสี ถ้าขึ้น 2 ขีด หมายถึง ผลบวก มีโอกาสตั้งครรภ์สูง และถ้าขึ้นขีดเดียว แสดงว่า ไม่ตั้งครรภ์
ทริคการใช้ชุดทดสอบการตั้งครรภ์ ควรตรวจการตั้งครรภ์ตอนเช้า และต้องเป็นปัสสาวะแรกของวัน เพราะว่า ปัสสาวะแรกในช่วงเช้าจะมีความเข้มข้มของฮอร์โมน hCG (ฮอร์โมนการตั้งครรภ์) มากที่สุด
2. ตรวจการตั้งครรภ์กับแพทย์
- ตรวจการตั้งครรภ์จากปัสสาวะ (UPT: Urine Pregnancy Test) จะคล้ายกับชุดทดสอบการตั้งครรภ์ด้วยตัวเองแบบจุ่มและแบบหยด แต่ทางโรงพยาบาลจะเก็บปัสสาวะไปตรวจในห้องแล็บ และอ่านผลโดยนักเทคนิคการแพทย์
- ตรวจการตั้งครรภ์โดยการเจาะเลือด เป็นวิธีที่แม่นยำที่สุด เพราะบางครั้งการตรวจการตั้งครรภ์จากปัสสาวะอาจยังไม่แสดงผล ซึ่งสามารถตรวจได้ตั้งแต่ 2 สัปดาห์ หลังจากมีเพศสัมพันธ์
- ตรวจการตั้งครรภ์ด้วยวิธี Ultrasound ตรวจโดยสูตินรีแพทย์ เป็นวิธีตรวจที่นอกจากจะดูการตั้งครรภ์แล้ว ยังสามารถดูตำแหน่งการตั้งครรภ์ได้ด้วยว่า ตั้งครรภ์ในมดลูก หรือนอกมดลูก รวมถึงทราบอายุครรภ์ และภาวะผิดปกติต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้อีกด้วย
เมื่อทำการตรวจการตั้งครรภ์แล้วพบว่า กำลังจะมีเจ้าตัวเล็ก สิ่งต่อไปที่จำเป็นต้องทำเลยก็คือ การไปฝากครรภ์นั่นเอง ทางคุณหมอก็จะมีคำแนะนำที่ถูกต้องในการดูแลร่างกายให้กับคุณแม่ แต่ถ้าตรวจการตั้งครรภ์แล้วยังไม่ประสบความสำเร็จ ลองหันมาศึกษาเรื่องการทำ IVF อีกหนึ่งทางเลือกสำหรับคู่รักที่พยายามเท่าไหร่ก็ไม่ท้องสักที