ฝากสเปิร์ม ทางเลือกสำหรับพ่อแม่มีลูกยาก
หรือวางแผนมีลูกในอนาคต
ฝากสเปิร์มเป็นการเตรียมพร้อมก่อนเกิดปัญหา มีลูกยาก ที่อาจสร้างความกังวลให้กับทั้งคู่สามีภรรยา และคนที่แต่งงานช้า ซึ่งการคิดที่จะมีลูกตอนอายุมาก อาจทำให้มีลูกยากขึ้นด้วยปัจจัยด้านร่างกายหลายประการ แต่ในปัจจุบันการฝากสเปิร์มไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป เพราะคุณผู้ชายหลายคนก็หันมาให้ความสนใจเรื่องนี้กันมากขึ้น วันนี้ Cotton Baby จะพาไปรู้จักการฝากสเปิร์มกันว่าไม่น่ากลัว และทำง่ายมาก ๆ เลยค่ะ
ฝากสเปิร์ม คืออะไร?
ฝากสเปิร์ม เป็นวิธีการฝากเก็บน้ำอสุจิที่แพทย์จะคัดสเปิร์มตัวที่แข็งแรงสมบูรณ์ แล้วมาฝากไว้ในสถานพยาบาลมีบริการแช่แข็งในถังไนโตรเจนเหลว เพื่อรอนำออกมาผสมกับไข่ของผู้หญิง หรือเมื่อพร้อมที่จะมีลูกในอนาคต โดยการนำสเปิร์มออกมาใช้จะต้องใช้ร่วมกับการผสมเทียม อย่างการทำเด็กหลอดแก้ว (IVF) และการทำอิ๊กซี่ (ICSI) ถึงจะประสบผลสำเร็จในการมีลูก
การฝากสเปิร์มเหมาะกับใคร?
- คู่รักที่เข้าข่ายภาวะมีบุตรยาก
- คู่รักที่แต่งงานช้า
- ฝ่ายชายมีโรคประจำตัว เช่น โรคมะเร็ง ที่ต้องรักษาด้วยการให้เคมีบำบัด หรือการฉายแสงที่ไปทำลายจำนวนสเปิร์ม หรือโรคเกี่ยวกับสุขภาพจิต
- ผู้ที่ต้องการวางแผนเพื่อเตรียมความพร้อมที่จะมีลูกในอนาคต
- ผู้ที่ต้องการเก็บสเปิร์มเอาไว้เพื่อบริจาคแก่ผู้มีบุตรยากรายอื่น
เตรียมความพร้อมอย่างไรก่อนฝากสเปิร์ม?
1. คุณผู้ชายจะต้องงดหลั่งอสุจิ ก่อนมาเก็บสเปิร์มประมาณ 2 – 3 วัน ไม่ควรเกิน 7 วัน
2. งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และสูบบุหรี่ เพราะเป็นสาเหตุทำให้น้ำเชื้อคุณภาพด้อยลง
3. งดแช่น้ำร้อน หรือเข้าซาวน่า เพราะเมื่ออุณหภูมิร่างกายเปลี่ยน จะส่งผลให้สร้างอสุจิน้อยลงได้
4. พักผ่อนให้เพียงพอ ป้องกันการตรวจคลาดเคลื่อน
ขั้นตอนการฝากสเปิร์ม
- เมื่อแจ้งกับทางสถานพยาบาลว่าต้องการฝากสเปิร์มแล้ว แพทย์จะซักประวัติ ตรวจร่างกาย และตรวจเลือด เพื่อดูว่ามีโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์หรือไม่ เช่น โรคซิฟิลิส โรคตับอักเสบ โรคเอดส์ โรคธาลัสซีเมีย และโรคเบาหวาน เป็นต้น
- หลังจากนั้นก็จะเข้าสู่ห้องเก็บสเปิร์มที่มีความเป็นส่วนตัว และมีสื่อให้ดูเพื่อทำการหลั่งอสุจิได้ง่ายขึ้น ซึ่งก่อนที่จะรีดน้ำเชื้อลงสู่ถ้วยพลาสติกปากกว้าง จะต้องล้างมือ และอวัยวะเพศให้สะอาดก่อน
- เมื่อเสร็จแล้วจะถูกนำไปตรวจว่าสเปิร์มมีความสมบูรณ์แข็งแรงแค่ไหน ผ่านการตรวจจากห้องแล็ป
โดยปกติแล้วผู้ชายจะมีสเปิร์ม เฉลี่ยราว 20-40 ล้านตัวต่อหนึ่งซีซี แต่สำหรับคนเป็นหมันจะมีเชื้อเพียง 1-2 ล้านตัวเท่านั้น
ซึ่งสเปิร์มที่ดี มีคุณภาพ หัวจะต้องกลมมน มีลักษณะคล้ายรูปไข่ มีหางยาวเป็นสาย เคลื่อนไหวเร็วอย่างน้อย 50%
โดยสเปิร์มจะถูกนำไปเลี้ยงด้วยการผสมให้เข้ากับสารเคมีบางชนิด เพื่อให้คงสภาพที่สมบูรณ์ไว้ และถูกใส่ไว้ในหลอดพลาสติก แล้วแขวนเหนือระดับถังไนโตรเจนเหลว 15 เซนติเมตร อุณหภูมิ -196 องศาเซลเซียส เพื่อให้หยุดการเคลื่อนไหว แล้วรอเวลาที่จะนำออกมาใช้ โดยนิยมเก็บไว้ที่ระยะเวลา 5 ปี
ผลลัพธ์หลังการนำสเปิร์มที่ฝากไว้มาใช้
จากข้อมูลพบว่า ประสบความสำเร็จในการมีลูกโดยวิธีการทำเด็กหลอดแก้ว (IVF) และมีความปลอดภัย แม้ว่าจะเก็บรักษาไว้นานกว่า 20 ปี ก็ตาม และยังพบอีกว่าเด็กที่เกิดจากการใช้สเปิร์มแช่แข็ง ไม่มีความแตกต่างจากเด็กที่เกิดโดยวิธีธรรมชาติ ในด้านน้ำหนักแรกเกิด และไม่พบความพิการ หรือความผิดปกติของโครโมโซม
อ้างอิง https://www.smileivf.com/embryo-oocyte-and-sperm-cryopreservation/
หลังจากฝากสเปิร์มแล้ว
แพทย์จะให้นอนพักประมาณ 15 – 20 นาที หากจำนวนสเปิร์มมีไม่มากพอ หรือต้องการเก็บซ้ำ สามารถมาอีกครั้งได้ หลังจากนี้ประมาณ 3 – 5 วัน เพื่อรอให้ร่างกายผลิตจำนวนสเปิร์มให้มีเพียงพอเสียก่อน จึงจะมาเก็บเพิ่มได้
สถานที่ให้บริการฝากสเปิร์ม – มีทั้งโรงพยาบาลของรัฐบาล และโรงพยาบาลเอกชน รวมถึงโรงพยาบาลที่มีศูนย์รักษาผู้มีบุตรยาก ส่วนใหญ่จะมีให้บริการทุกที่
ค่าใช้จ่ายในการฝากสเปิร์ม – ครั้งละประมาณ 1,000 – 5,000บาท ขึ้นอยู่กับแต่ละโรงพยาบาล
สำหรับใครที่ยังกล้า ๆ กลัว ๆ กับการฝากสเปิร์ม สามารถชมตัวอย่างจากผู้ที่เคยเข้าฝากสเปิร์มได้จากคลิปด้านล่างเลยค่ะ
การฝากสเปิร์ม นอกจากจะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของคู่รักที่มีลูกยากแล้ว ยังเป็นทางเลือกในการวางแผนเตรียมความพร้อมที่จะมีลูกในอนาคตอีกด้วย สำหรับใครที่กลัวว่าจะมีลูกยาก หรือมีแบบวิธีธรรมชาติได้ยาก การฝากสเปิร์มก็เป็นวิธีที่น่าสนใจนะคะ