Search
Close this search box.
คู่รักกอดกัน

ย้อนรำลึกเส้นทางรักของคู่คุณ
ผ่านการแสดงออกของ ‘ฮอร์โมน’

‘ชีวิตหลังแต่งงานช่างต่างกันลิบลับกับตอนคบกันใหม่ๆ’ ความคิดนี้เกิดขึ้นกับคู่ของคุณแล้วหรือยัง ถ้าใช่ ขอให้รู้ไว้เถอะว่านี่ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด และไม่ได้หมายความถึงชีวิตคู่ที่กำลังจืดจางลงเสมอไป ทว่าเป็นความเปลี่ยนแปลงที่สามารถอธิบายได้ด้วยทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ โดยมีสารที่ใครต่อใครต่างก็เคยได้ยินชื่ออย่าง ‘ฮอร์โมน’ เป็นตัวการสำคัญ คอยบงการบทความรักในแต่ละตอนของชีวิตคู่

คู่รัก ผู้หญิงผู้ชาย

ฮอร์โมนกับบทชีวิตรัก ตอน ‘ตกหลุมรัก’

ช่วงเวลาที่ชายหญิงตกหลุมรักนั้น วิทยาศาสตร์ได้อธิบายโมเมนต์สุดโรแมนติกนี้ไว้ว่า เป็นช่วงเวลาที่ร่างกายจะผลิตฮอร์โมน ‘โมโนเอมีน (Monoemine)’ ซึ่งเป็นฮอร์โมนแห่งความหลงใหลออกมา ฮอร์โมนกลุ่มนี้จะส่งผลให้คนมีพฤติกรรมหลงลืมอะไรบางอย่าง มีอารมณ์ไม่คงที่ บางครั้งส่งผลให้นอนไม่หลับ ในขณะที่บางคนถึงขั้นฝันถึงคนที่รู้สึกตกหลุมรักขณะหลับเลยทีเดียว ฮอร์โมนแห่งความหลงใหลนี้ประกอบไปด้วย ‘อะดรีนาลีน (Adrenaline)’ หรือสารที่หลั่งออกมาเมื่อเรารู้สึกตื่นเต้น  และ ‘เซโรโทนิน (Serotonin)’ หรือสารที่หลั่งออกมาเมื่อเรามีความสุข เมื่อสารทั้งสองหลั่งออกมาตอนเราตกหลุมรักใครสักคน มันจึงส่งผลให้เราหัวใจเต้นแรง เขิน หน้าแดง ตื่นเต้นจนทำตัวไม่ถูก ซึ่งล้วนเป็นอาการแรกเริ่มที่นำไปสู่การกระทำที่ไร้เหตุผล และยากที่จะหาคำตอบได้เมื่อตกอยู่ในห้วงของความรัก อย่างที่ใครต่อใครชอบเปรียบเปรยว่า ‘ความรักทำให้คนตาบอด’ นั่นเอง

คู่รัก

ฮอร์โมนกับบทชีวิตรัก ตอน ‘จีบกัน’

ช่วงจีบกันใหม่ๆ เป็นช่วงที่กราฟความรักอยู่ตรงจุดพีคที่สุด จนหลายคนมักเรียกระยะนี้ว่า ‘ช่วงโปรโมชั่น’ เป็นช่วงที่ทุกอย่างรอบตัวเป็นสีชมพู ฝ่ายตรงข้ามทำอะไรก็ดูดี ดูใช่ ถูกใจไปหมด ส่งผลให้เราเกิดความรู้สึกว่าอยากเจอหน้าฝ่ายตรงข้ามทุกวัน อยากได้ยินเสียงตลอดเวลา สังเกตได้เลยว่าความรักในช่วงนี้จะทำให้เรารู้สึกกระฉับกระเฉงมากเป็นพิเศษ ไวต่อสิ่งกระตุ้น มีความกระตือรือร้น ซึ่งการทุ่มเทเพื่อความรักอย่างเต็มใจเช่นนี้ ทำให้ร่างกายรู้สึกมีความสุขและยินดีราวกับได้รับรางวัล อาการเหล่านี้เป็นผลมาจากการหลั่งฮอร์โมน ‘โดปามีน (Dopamine)’ ออกมา ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ทำให้เกิดความรู้สึกพึงพอใจเมื่อเราได้สิ่งที่ต้องการตามปรารถนา ที่น่าสังเกตคือพอหลั่งออกมาแล้วร่างกายจะมีความต้องการฮอร์โมนนี้มากขึ้นอีกเรื่อยๆ ส่งผลให้อยากทำกิจกรรมที่ก่อให้เกิดความสุขอีก เช่น อยากไปเจอคนรักบ่อยๆ อยากคุยโทรศัพท์ด้วยทุกวัน อยากรู้ความเป็นไปของอีกฝ่าย โดยไม่รู้สึกเหนื่อยหรือเบื่อหน่ายเลยที่ต้องทำสิ่งเหล่านี้ซ้ำๆ ทุกวัน หากจะนิยามให้ฟังเข้าใจง่าย ช่วงเวลาที่ฮอร์โมนโดปามีนนี้หลั่ง ก็คือช่วงที่เต็มไปด้วยความรู้สึกเสน่หา คล้ายกำลังติดสารเสพติดนั่นเอง เพราะกลุ่มคนที่ติดสารเสพติดประเภทโคเคนและนิโคติน ก็มักพบว่ามีฮอร์โมนชนิดนี้หลั่งออกมาเช่นกัน

คู่รักกอด

ฮอร์โมนกับบทชีวิตรัก ตอน ‘พัฒนาความสัมพันธ์แบบแนบชิด’

หลังผ่านช่วงรักระยะโปรโมชันอย่างตอนจีบกันไปแล้ว ก็เป็นธรรมชาติที่คนที่มีความรักซึ่งกันและกันจะเกิดความผูกพันและไว้วางใจมากขึ้น ช่วงเวลานี้เองเป็นช่วงที่ฮอร์โมน ‘ออกซิโทซิน (Oxytocin)’ ทำงานอย่างหนัก ทำให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลาย สงบนิ่ง และยังมีผลกระตุ้นให้เกิดอารมณ์ทางเพศด้วย ดังนั้นเมื่อถึงเวลาที่ฮอร์โมนนี้หลั่ง คู่รักจะรู้สึกอยากเข้าไปกอด อยากสัมผัส อยากแนบชิด และหลงใหลในร่างกายของฝ่ายตรงข้ามมากขึ้น อารมณ์แบบนี้นำไปสู่ความรู้สึกอยากแนบชิด และอยากมีเพศสัมพันธ์ และเมื่อคู่รักถึงจุดสุดยอด ฮอร์โมนที่ว่าก็จะหลั่งออกมาในปริมาณมากขึ้น ก่อให้เกิดความรักและความผูกพันทางกายและใจตามมา จนนำไปสู่การวางแผนมีครอบครัว

อย่างไรก็ตามข้อควรระวังคือ เมื่อเวลาผ่านไปความรู้สึกคุ้นเคยจะส่งผลให้ร่างกายผลิตฮอร์โมน
ออกซิโทซินได้น้อยลงด้วย ซึ่งนั่นเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้อารมณ์ของคุณอยู่ในโหมดราบเรียบ ไม่รู้สึกหวือหวา หรือตื่นเต้นเหมือนช่วงตกหลุ่มรัก และช่วงรักระยะโปรโมชัน อันเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ความรักจืดจางลง

แม้ว่าฮอร์โมนจะมีผลโดยตรงกับชีวิตรักในแต่ละช่วง แต่หากคุณและคู่ครองยังคงยึดมั่นในความรู้สึกรัก และมองข้ามเรื่องอารมณ์อันเป็นผลข้างเคียงจากการหลั่งฮอร์โมน เชื่อเหลือเกินว่า คุณทั้งสองจะจับมือผ่านโมเมนต์ที่ไม่หวานชื่นนี้ไปได้ ลองก้าวออกจากกรอบการใช้ชีวิตคู่แบบเดิมๆ แล้วหาเทคนิคเติมความหวานให้ชีวิตคู่กลับมากระชุ่มกระช่วยเหมือนในอดีตดูบ้าง แล้วจะพบว่า ‘แม้ความรักจะจืดจาง แต่ความรักก็ยังคงอยู่’

SHARE

RELATED POSTS

5 วิธีประครองชีวิตครอบครัว ให้โปรโมชั่นชีวิตคู่ฟู่ฟ่าแม้มีเบบี๋ การมีครอบครัวที่สมบูรณ์แบบเป็นสิ่งที่คู่รักทุกคู่ปรารถนา…
ล้วงลึกชีวิต ‘ผัวกลัวเมีย’ แล้วจะรู้ว่าเส้นทางนี้ไม่ง่ายอย่างที่คิด เพราะหลายครั้งที่ความรักเพียงอย่างเดียวก็ไม่พอ…