จากเรียนออนไลน์ สู่ Homeschool คลื่นยักษ์ใต้น้ำ หลังยุคโควิด
หลายคนได้ยินคำว่า ‘Homeschool’ มานานแล้ว ซึ่งดูเป็นเรื่องไกลตัว และไม่ได้ให้ความสำคัญกับสิ่งนี้มากเท่าไหร่ แต่เมื่อช่วงปีที่ผ่านมาได้เกิดการระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้การเรียนรูปแบบนี้เริ่มมีบทบาทมากยิ่งขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
หลังจากยุคไวรัสโควิด-19 ระบาด มีแนวโน้มที่ผู้ปกครองจำนวนมากจะเลือกหันมาให้ลูกเข้าสู่ระบบการศึกษาแบบ Homeschool มากขึ้น แทนที่จะเป็นโรงเรียนของรัฐบาล หรือเอกชนอย่างมีนัยสำคัญ แต่การเรียนแบบ Homeschool เกี่ยวข้องอะไรกับโรคระบาดครั้งนี้ Cotton Baby มีมาบอกกันค่ะ
Homeschool คืออะไร ?
Homeschool คือ ระบบการศึกษารูปแบบหนึ่งที่ผู้ปกครองจะช่วยเอื้อให้เกิดการเรียนรู้กับลูกได้ อาจจะเป็นการสอนลูกด้วยตนเอง หรือการส่งเสริมจัดหาสื่อให้ลูกเกิดการเรียนรู้ โดยเน้นเนื้อหาเชิงวิชาการและสันทนาการที่เกี่ยวกับความสนใจของตัวเด็ก แทนที่จะเป็นโรงเรียนของรัฐบาลหรือเอกชน ในปัจจุบันผู้ปกครองเริ่มหันมาเลือกให้ลูกเข้าสู่ระบบการศึกษาแบบ Homeschool มากขึ้น แต่ก็ยังเป็นจำนวนไม่มากนัก
จากข้อมูลตามประวิติศาสตร์ การเรียนแบบ Homeschool ไม่ใช่เรื่องใหม่ ในความเป็นจริงแล้วระบบการศึกษาแบบนี้เริ่มเป็นที่นิยมตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่ 70 เมื่อนักเขียนและนักปฏิรูปหลายคน หันมาพูดถึงเรื่องของการศึกษาในรูปแบบที่แตกต่างจากเดิม และมีการกล่าวถึงการศึกษาทางเลือกอย่าง Homeschool จนทำให้การเรียนรู้ลักษณะนี้ในต่างประเทศกลายมาเป็นเรื่องปกติ และมีแนวโน้มโตขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยซ้ำ
สาเหตุที่ทำให้ Homeschool เริ่มมีบทบาท
- ความไม่พอใจเกี่ยวกับระบบการศึกษาเดิมที่มีอยู่
- โครงสร้างของการศึกษาแบบเดิม ๆ ที่ไม่ได้เอื้อต่อการพัฒนาของเด็ก
- ความต้องการของผู้เรียนที่แตกต่างจากผู้เรียนคนอื่น ๆ
- แนวคิดทางด้านศาสนาที่ไม่เหมาะสมกับครอบครัวของตนเอง
ระบบของการเรียน Homeschool
ความจริงแล้วการเรียนแบบ Homeschool ผู้ปกครองไม่จำเป็นต้องมีวุฒิการศึกษาระดับสูง หรือต้องประกอบอาชีพครู เพราะ ‘ผู้ปกครอง’ นี่แหละ คือผู้เชี่ยวชาญและกูรูด้านความต้องการในตัวของลูกมากที่สุด
ในปัจจุบันหลายสถาบันการศึกษาได้มีการจดการสอนรูปแบบ Homeschool โดยการใช้เครื่องมือออนไลน์เข้ามาช่วยทำให้การศึกษาง่ายมากยิ่งขึ้น ซึ่งผู้ปกครองและเด็ก ๆ สามารถเลือกหลักสูตรที่เหมาะสมได้ด้วยตนเอง
วิชาที่ถูกเลือกมาใช้ในการสอนแบบ Homeschool ควรเป็นวิชาที่มีตามหลักสูตรเป็นตัวตั้ง และสิ่งที่ตามมาคือรายวิชาที่เอื้อประโยชน์ต่อความสนใจของเด็ก ทั้งสองด้านของรายวิชานี้จะถูกผสมผสานกันเพื่อปรับแต่งระบบการศึกษาในเข้ากับเด็ก ๆ ซึ่งจะช่วยให้พวกเขาสามารถหาตัวตนที่แท้จริงได้อย่างเป็นธรรมชาติ
Homeschool ดีอย่างไร ?
ข้อมูลต่อไปนี้จะเป็นตราชั่งให้กับคุณพ่อคุณแม่ได้ลองวัดข้อดีข้อเสียของการเรียนแบบ Homeschool ว่าลูกของตนเองเหมาะสมกับการเรียนแบบนี้หรือไม่
ข้อดีของการเรียนแบบ Homeschool
อิสระเหนือโครงสร้างการศึกษา
ในเมื่อสามารถจัดตารางเรียนได้เอง การจัดระเบียบเวลาจึงเป็นเรื่องที่สำคัญไม่ใช่น้อย ต้องขึ้นอยู่กับความกระตือรือร้นในการเรียนของลูกเป็นหลักด้วยว่า เขาอยากเรียนรู้ในช่วงเวลาไหน ? บางคนชอบเรียนตอนเช้า บางคนชอบเรียนตอนบ่าย หรือบางคนชอบเรียนตอนเย็น ทั้งหมดนี้ต้องยึดถือตัวเด็กเป็นหลักในการจัดสรรเวลาที่พวกเขาต้องการ เพื่อตอบสนองความรู้และความต้องการให้ลงตัว
ตอบรับความต้องการของผู้เรียนที่แท้จริง
เด็กบางคนเกิดมาพร้อมกับพรสวรรค์ที่เหนือกว่าคนอื่น และต้องการข้อกำหนดเฉพาะให้กับตนเองมากกว่าเด็กปกติทั่วไป การศึกษาแบบ Homeschool จะสามารถช่วยให้ผู้ปกครองสามารถปรับแต่งหลักสูตรให้เหมาะสมกับเด็กและสภาพแวดล้อมได้มากที่สุด เพื่อเสริมพัฒนาการ ประโยชน์ และความรู้ทางวิชาการของลูกให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด
เรียนที่บ้านเพิ่มความอบอุ่นในครอบครัว
การนั่งเรียนที่บ้าน มีพ่อแม่คอยเป็นกำลังใจให้ตลอดเวลา จะทำให้เด็ก ๆ อยู่ภายใต้สภาพแวดล้อมของครอบครัวที่อบอุ่น เอาใจใส่ ลดปัญหาด้านสุขภาพจิตใจที่เกิดจากโรงเรียน และความวิตกกังวลทางสังคม ซึ่งถือเป็นรากฐานที่สำคัญที่สุดในการสร้างค่านิยมที่ดีที่มีผลต่อการใช้ชีวิตในสังคมของเด็ก
ประสิทธิภาพการเรียนที่แตกต่าง
ระบบการศึกษาแบบสากลในโรงเรียนที่ภายในห้องเรียนจะมีนักเรียน 30-40 คน แต่มีคุณครูสอนเพียง 1 คนเท่านั้น เป็นสิ่งที่ทำให้เข้าใจกันว่า เด็กนักเรียนทั้งหมดจะไม่สามารถเข้าใจ หรือได้รับประสิทธิภาพในการเรียนมากพอ ดังนั้นการเลือกเรียนแบบ Homeschool จะช่วยให้ผู้เรียนมีประสิทธิภาพในการเรียนมากยิ่งขึ้น เพราะจะมีคุณครูเพียง 1 คนที่สอนนักเรียน 1 คน (อัตราส่วน 1:1) และยังช่วยลดเวลาที่เสียเปล่าไปในห้องเรียน ในขณะที่ต้องรอเพื่อตอบคำถามของคุณครู เพราะช่วงเวลานี้ไม่ช่วยให้เด็กคนอื่น ๆ ได้รับความรู้เพิ่มเลย
เสรีภาพทางการใช้ชีวิต
จากการศึกษาวิจัย พบว่าปัจจัยที่ส่งเสริมประสิทธิภาพของการเรียนรู้คือ ‘อิสรภาพ’ หรือ การเลือกเรียนได้เองตามความต้องการของผู้เรียน และการเรียนแบบ Homeschool นี้ แน่นอนว่าคะแนนของเสรีภาพในการเลือกเรียนนั้นได้ไปเลย 100 คะแนน เด็กที่เรียน Homeschool สามารถเลือกในสิ่งที่ตนเองต้องการและสนใจ ดังนั้นประสิทธิภาพในการเรียนที่เกิดขึ้นจะไม่ใช่เพราะว่าต้องเรียนเพื่อแลกกับเกรดที่ได้รับ แต่เป็นเพราะความตั้งใจที่ได้เรียน
รับรองโดยกฎหมาย
สำหรับประเทศไทยแล้ว การศึกษา Homeschool ในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน (อนุบาลจนถึงมัธยมปลาย) ได้รับการรับรองตามกฎหมายตั้งแต่ พ.ศ. 2542 แล้ว นั้นก็หมายความว่าเด็กที่เรียนระบบ Homeschool จะไม่ได้แตกต่างไปจากนักเรียนที่โรงเรียนเลย แต่ในปัจจุบันการศึกษาแบบ Homeschool นี้ก็ไม่เป็นที่นิยมในประเทศไทยมากนักมีเพียงประมาณ 0.01% จากจำนวนนักเรียนทั้งหมดเท่านั้น
ข้อเสียของการเรียนแบบ Homeschool
คอยอธิบายให้กับคนที่ไม่เข้าใจ
เป็นเรื่องปกติที่จะมีคนสงสัยกับการเรียนแบบ Homeschool เนื่องจากยังไม่เป็นที่นิยมมากนักในประเทศไทย ดังนั้นหลายคนอาจจะตั้งคำถามเกี่ยวกับการศึกษาประเภทนี้ และคนใกล้ชิดหรือญาติอาจจะไม่เห็นด้วยกับการเรียนที่แตกต่างเช่นนี้
ค่าใช้จ่ายสำหรับการศึกษา
Homeschool อาจได้เปรียบที่ไม่ต้องซื้อชุดนักเรียนเยอะ เสียค่าเดินทาง และอื่น ๆ แต่อย่าลืมไปว่าการเรียนระบบการศึกษาแบบนี้ต้องใช้เงินจำนวนมากไปกับสื่อการเรียนเฉพาะทาง และคู่มือการศึกษาต่าง ๆ ที่ราคาอาจจะกลายมาเป็นตัวแปรสำคัญก็เป็นได้
ไม่ใช่ว่าเด็กจะเข้าใจ
ไม่ใช่ว่าเด็กทุกคนจะชอบให้คุณพ่อคุณแม่อยู่รอบข้างตลอดเวลา เพราะในบางครั้งเด็กก็ต้องการพื้นที่ส่วนตัวในการปลดปล่อยความเป็นตัวเองอย่างเต็มที่ และเด็กบางคนที่ยังไม่เข้าใจการเรียนรูปแบบนี้ ซึ่งอาจจะมีการไม่เห็นด้วยกับการเรียนรู้แบบ Homeschool ที่แตกต่างจากเพื่อนข้างบ้าน และสิ่งนี้เป็นข้อที่สำคัญที่สุด เพราะหากเด็กไม่ยอมรับการเรียนรูปแบบนี้ ก็ไม่ควรบังคับเขานะคะ เพราะจะทำให้เขาต่อต้านการศึกษา และอาจจะเป็นการต่อต้านพ่อแม่ไปด้วยเลยก็ได้ค่ะ
ขาดเพื่อนและการเข้าสังคม
เด็กจะขาดการเข้าสังคมกับเพื่อน ๆ เพราะเด็กวัยเรียนส่วนใหญ่จะได้เพื่อนจากโรงเรียนมากที่สุด ดังนั้นการเรียน Homeschool จะเป็นการลดโอกาสการพบเจอเพื่อนลง ซึ่งอาจจะมีผลต่อทักษะการปรับตัวเข้าสังคมในอนาคตได้
ครอบครัวไหนที่เหมาะสมกับการทำ Homeschool
สภาพแวดล้อมถือเป็นปัจจัยแรก ๆ ของครอบครัวที่เลือกระบบการศึกษาแบบ Homeschool ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ภายในบ้าน อุปกรณ์ที่เหมาะสม หรือความพร้อมด้านเวลาของผู้ปกครอง ล้วนแต่เป็นเครื่องมือหนึ่งที่ช่วยให้การเรียนแบบนี้มีประสิทธิภาพ หากครอบครัวไหนยังขาดสิ่งเหล่านี้ การศึกษาแบบ Homeschool อาจจะไม่ใช่ตัวเลือกที่เหมาะสมมากพอ
การเรียนรูปแบบ Homeschool เหมาะสำหรับครอบครัวที่มีเด็กซึ่งเกิดมาพร้อมกับพรสวรรค์ที่เหนือกว่าคนอื่น หรือ ต้องการข้อกำหนดเฉพาะให้กับตนเองมากกว่าเด็กปกติทั่วไป เช่น เด็กที่มีข้อบกพร่องทางร่างกาย เด็กที่ต้องการมีระดับ IQ เกินมาตรฐานทั่วไป
แม้กระทั่งเด็กที่มีความต้องการในการประสบความสำเร็จเฉพาะด้าน เช่น นักกีฬาโอลิมปิก ที่รูปแบบการเรียนเช่นนี้ จะช่วยให้เด็กสามารถได้รับการเรียนเชิงวิชาการ และสามารถมีเวลาไปฝึกซ้อมได้อย่างเหมาะสม
การศึกษาต่อมหาวิทยาลัย โดยผ่านระบบ Homeschool
นี่ไม่ใช่ปัญหาเลย สำหรับเด็กที่เรียน Homeschool มาตั้งแต่เล็กที่เตรียมตัวเข้าระบบมหาวิทยาลัย มากไปกว่านั้นพวกเขายังมีประสิทธิภาพจากการเรียนที่มากกว่าด้วย เพราะพวกเขาสามารถเข้าไปสอบเทียบเท่าระดับวุฒิการศึกษาของมัธยมศึกษา เช่นเดียวกับนักเรียนทั่ว ๆ ไป โดยมักจะเป็นการสอบระดับสากล เช่น GED หรือ IGCSE และในประเทศไทยก็มีการจัดสอบอยู่บ่อยครั้ง
จาก COVID สู่ Homeschool
“คุณพ่อช่วยอธิบายคณิตศาสตร์ข้อนี้ให้ผมหน่อยครับ ?” “คุณแม่พาหนูไปตักดินได้ไหมคะ ? คุณครูให้การบ้านไปหยิบดินหลังบ้านมาดูสิ่งมีชีวิตภายในนั้น” คำถามเหล่านี้เป็นสิ่งแปลกใหม่ที่หลายครอบครัวต้องเผชิญ และจะต้องหาทางแก้ไขกับคำถามที่ลูก ๆ ตั้งมาให้ได้
ในช่วงเวลาระบาดของไวรัสโควิด-19 มาถึง ทำให้ทางภาครัฐต้องประกาศนโยบายกักตัวที่บ้าน คุณพ่อคุณแม่บางครอบครัวจะรู้สึกแปลกที่เด็ก ๆ ต้องกลายมาเป็นการเรียนแบบ ‘ออนไลน์’ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่บางครอบครัวไม่ได้รู้สึกถึงความแตกต่าง เพราะพวกเขาทำเช่นนี้มาตั้งนานแล้ว
การเรียนออนไลน์ (e-Learning) ในยุคโควิด-19 คือ การเรียนรู้รูปแบบหนึ่ง โดยการนำอุปกรณ์เทคโนโลยีเข้ามาผสมผสานกับเนื้อหาจากทางโรงเรียนผ่านการสอนจากคุณครู เพื่อหลีกเลี่ยงการพบเจอหรือสัมผัสกันโดยตรง และลดการแพร่กระจายของเชื้อโรค
‘การเรียนออนไลน์’ เป็นหนึ่งในวิธีการเรียนแบบ Homeschool ที่ในปัจจุบัน หลายครอบครัวต้องปรับตัวและทำความเคยชิน เพื่อให้ลูกหลานได้เรียนรู้อย่างเต็มที่เหมือนกับที่ได้รับจากโรงเรียนโดยตรง
อย่างที่กล่าวไปตั้งแต่ต้นว่า การเรียนรู้แบบ Homeschool ไม่ได้เหมาะสมกับผู้เรียนทุกคน แต่เมื่อสถานการณ์บังคับให้การเรียนแบบออนไลน์เกิดขึ้น บางครอบครัวอาจจะไม่ได้ประสิทธิภาพเหมือนกับการเรียนที่โรงเรียน อันเนื่องมาจากปัจจัยด้านสภาพแวดล้อมภายใน แต่สำหรับบางครอบครัวแล้ว ทัศนคติของผู้ปกครองได้เปลี่ยนไปอย่างมากสำหรับการศึกษาแนวนี้
จากการสำรวจความพึงพอใจเกี่ยวกับการเรียน Homeschool ของ EdChoice (องค์กรปฏิรูปการศึกษาประเทศสหรัฐอเมริกา) พบว่าตั้งแต่เริ่มมีการระบาดใหญ่ในปี 2020 ผู้ปกครองเริ่มมีมุมมองที่ดีมากยิ่งขึ้นต่อการเรียน Homeschool เนื่องจากโควิด-19 ทำให้คนเริ่มสนใจในการเรียนแบบ Homeschool ที่มีการสอนผ่านรูปแบบออนไลน์มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กที่มีปัญหาด้านการเข้าสังคม
หลายครอบครัวได้ทดลองสัมผัสกับข้อดีของการเรียนออนไลน์มากขึ้น จากสถานการณ์โควิด-19 และเริ่มเล็งเห็นการเรียนแบบ Homeschool ที่เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ดีของลูกในอนาคต ว่าได้ประสิทธิภาพไม่แพ้การเรียนภายในโรงเรียนเลย
ความยืดหยุ่นของเวลา ความเข้มข้นของเนื้อหา และความปลอดภัยของสภาพแวดล้อมภายในบ้าน เป็นสิ่งที่การเรียนแบบ Homeschool ให้ได้มากกว่า นอกจากนี้การเรียนแบบ Homeschool ยังเปิดโอกาสให้เด็ก ๆ สำรวจความสนใจของตนเอง และผู้ปกครองก็มีส่วนร่วมได้อย่างเต็มที่
หากสนใจการเรียนแบบ Homeschool แล้วเริ่มต้นได้อย่างไร
ครอบครัวที่ตัดสินใจดีแล้วสำหรับการเลือกเรียนแบบ Homeschool สามารถทำเลือกขั้นตอนที่ถูกต้องตามกฎหมายได้หลายวิธี โดยแบ่งออกเป็นช่วงประถมศึกษาและมัธยมศึกษา
- ประถมศึกษา สามารถยื่นเรื่องได้ดังนี้
- ผู้ปกครองยื่นขออนุญาตจดทะเบียนเพื่อจัดการศึกษาแบบครอบครัว ได้ที่เขตพื้นที่การศึกษาตามภูมิลำเนา
- ผู้ปกครองจดทะเบียนกับโรงเรียนที่ร่วมโครงการการศึกษาแบบ Homeschool
- ระดับมัธยมศึกษา สามารถยื่นเรื่องได้ดังนี้
- ผู้ปกครองยื่นขออนุญาตจดทะเบียนเพื่อจัดการศึกษาแบบครอบครัว ได้ที่เขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาตามภูมิลำเนา
- ลงทะเบียนเป็นนักเรียน กศน. (การศึกษานอกระบบ)
สำหรับเด็กที่อยู่ในระดับอนุบาลแล้ว ไม่จำเป็นต้องขอยื่นเรื่องการจดทะเบียนเรียน Homeschool ค่ะ ผู้ปกครองสามารถเริ่มสอนให้เด็กเรียนรู้ได้เลยค่ะ
เป็นอย่างไรกันบ้างคะ ? สำหรับการเรียนแบบ Homeschool ที่เกิดขึ้นในช่วงยุคโควิด-19 ทั้งนี้ Cotton Baby ขอแนะนำว่า ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานของเด็ก เป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมากที่จะนำไปต่อยอดการใช้ชีวิตของพวกเขาในอนาคต หากลูกมีความสุขกับการเรียนแบบใด ก็ควรให้ลูกเลือกได้เองความต้องการของเขา
ไม่ว่าจะเป็นการเรียนแบบ Homeschool หรือการเรียนที่โรงเรียน ก็ล้วนแต่มีข้อดีและเสียที่แตกต่างกัน หากพิจารณาให้ดีแล้ว ควรนำเด็ก ๆ เป็นที่ตั้งในการตัดสินใจเลือกเรียนนะคะ และนอกจากการเรียนแบบเชิงวิชาการแล้ว อย่าลืมพาเด็กไปท่องเที่ยว หรือเรียนรู้ภายนอกบ้าน ข้างนอกห้องเรียน เพื่อให้พวกเขาเข้าใจโลกแห่งความเป็นจริงให้มากขึ้น และความเข้าใจสังคมที่เป็นอยู่อย่างแท้จริง