เด็กติดมือถือ เสี่ยงเป็นออทิสติกเทียม

อย่ามองข้าม! เด็กติดมือถือ เสี่ยงเป็นออทิสติกเทียมไม่รู้ตัว

          ทุกวันนี้มือถือและแท็บเล็ตกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของทุกบ้านไปแล้ว โดยเฉพาะบ้านที่มีลูกเล็ก หลายครอบครัวใช้หน้าจอเป็นตัวช่วยให้ลูกอยู่นิ่ง กินข้าวง่ายขึ้น หรือใช้ระหว่างที่พ่อแม่ต้องทำงาน แต่การปล่อยให้ลูกดูหน้าจอมากเกินไปโดยไม่รู้ตัว อาจส่งผลต่อพัฒนาการของลูกอย่างคาดไม่ถึง โดยเฉพาะภาวะที่หลายคนเริ่มพูดถึงกันมากขึ้นในไทยช่วงไม่กี่ปีนี้อย่าง ออทิสติกเทียม

           บทความนี้ Cotton Baby จะพาคุณพ่อคุณแม่มาทำความรู้จักแบบง่าย ๆ ว่า ออทิสติกเทียมคืออะไร เกิดขึ้นได้อย่างไร และทำไมการเลี้ยงลูกติดหน้าจอจึงเป็นอันตรายมากกว่าที่คิด พร้อมวิธีรับมือและแนวทางแก้ไขที่ทุกบ้านสามารถทำตามได้ มาดูไปพร้อมกันเลย!  

ออทิสติก VS ออทิสติกเทียม ต่างกันอย่างไร?

ออทิสติก VS ออทิสติกเทียม ต่างกันอย่างไร?

          คำว่า ออทิสติกเทียมไม่ใช่คำวินิจฉัยทางการแพทย์อย่างเป็นทางการ แต่เป็นคำที่แพทย์เด็กและนักกิจกรรมบำบัดใช้เรียกเด็กที่มีพฤติกรรมคล้ายออทิสติกจากการใช้หน้าจอมากเกินไป ไม่ว่าจะเป็นหน้าจอมือถือ แท็บเล็ต ทีวี หรืออุปกรณ์ดิจิทัลต่าง ๆ   

          ในขณะที่ โรคออทิสติก (Autism)เกิดจากความผิดปกติของพัฒนาการสมองตั้งแต่อยู่ในครรภ์ ซึ่งเป็นสาเหตุที่ไม่เกี่ยวกับการใช้งานหน้าจอ ส่วน ออทิสติกเทียม (Pseudo Autism) เกิดจากการขาดการกระตุ้นจากคนรอบข้างเป็นหลัก เด็กได้รับการสื่อสารโต้ตอบน้อย ไม่มีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น เพราะใช้เวลากับหน้าจอมากเกินไป ทำให้พฤติกรรมที่แสดงออกคล้ายเด็กออทิสติก

           ถึงแม้ทั้งสองภาวะจะดูคล้ายกัน แต่มีความต่างสำคัญคือ เด็กที่มีภาวะ ออทิสติกเทียม หากได้รับการกระตุ้นที่ถูกต้องและสม่ำเสมอ ในระยะเวลาไม่นาน ส่วนใหญ่สามารถกลับมามีพัฒนาการตามวัยได้ ในขณะเด็กที่เป็น ออทิสติกจริง แม้จะได้รับการกระตุ้นพัฒนาการ ก็ยังคงมีพฤติกรรมบางอย่างที่แตกต่างจากเด็กทั่วไป แต่ก็สามารถพัฒนาขึ้นได้หากได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม

สาเหตุภาวะออทิสติกเทียมเกิดจากอะไร?

สาเหตุภาวะออทิสติกเทียมเกิดจากอะไร?

          ออทิสติกเทียม (Pseudo Autism) มักเกิดจากการที่เด็กไม่ได้รับพัฒนาการที่เหมาะสมในช่วงวัยสำคัญโดยเฉพาะเมื่อเด็กใช้เวลาอยู่กับหน้าจอมือถือนาน ๆ ทำให้ขาดปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์จริง ซึ่งเป็นหัวใจหลักของพัฒนาการช่วงวัยเด็ก โดยเฉพาะเด็กเล็กวัย 0-3 ปี ที่ต้องการการเรียนรู้ผ่านการมองหน้า การสื่อสาร การเล่น การสัมผัส และการโต้ตอบกับคนรอบตัว แต่เมื่อเด็กอยู่กับหน้าจอมากเกินไป สิ่งที่เกิดขึ้นคือเด็กได้รับการสื่อสารทางเดียวจากหน้าจอ ไม่เกิดการโต้ตอบที่เป็นธรรมชาติ ทำให้การสื่อสารและการเข้าสังคมช้าลงอย่างเห็นได้ชัด ในช่วงวัยที่สมองกำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว หากเด็กไม่ได้รับการกระตุ้นที่ถูกต้อง พัฒนาการด้านต่าง ๆ ทั้งภาษา การสื่อสาร อารมณ์ และการเข้าสังคม อาจชะงักหรือถดถอยได้

สัญญาณที่พ่อแม่ต้องระวัง! ลูกอาจเสี่ยงเป็นออทิสติกเทียม

          หากลูกมีพฤติกรรมเหล่านี้ร่วมกับการใช้หน้าจอเยอะอาจเป็นสัญญาณเตือนที่คุณพ่อคุณแม่ควรต้องเริ่มหันมาให้ความใส่ใจพัฒนาการของลูกมากขึ้น

  • หลีกเลี่ยงการสบตาและการสื่อสาร ไม่ยิ้ม ไม่ค่อยแสดงอารมณ์
  • เมื่อเด็กอายุ 2 ขวบแล้วยังไม่พูด พูดช้า พูดคำไม่ชัด หรือบอกความต้องการของตัวเองไม่ได้
  • มักแสดงออกด้วยการร้องงอแง อาละวาดแทนการสื่อสาร
  • เด็กติดหน้าจอมาก เช่น สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต ทำให้ไม่สนใจกิจกรรมอื่น
  • มีพฤติกรรมซ้ำ ๆ เล่นของเล่นแบบเดิม ๆ ชอบแยกตัว หรือเล่นคนเดียว
  • แสดงออกต่างจากเด็กวัยเดียวกัน เช่น ร้องไห้ง่าย ไม่มีเหตุผล หรือมีพฤติกรรมก้าวร้าวเมื่อไม่ได้ดั่งใจ
  • ปรับตัวเล่นกับเด็กคนอื่นไม่ได้ เพราะสนใจแต่สิ่งที่ตัวเองอยากทำ
ลูกเสี่ยงเป็นออทิสติกเทียม
ทำอย่างไรเมื่อลูกติดหน้าจอมากเกินไป
  1. จำกัดหน้าจอให้เหมาะสมกับวัย เด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี ไม่ควรใช้หน้าจอทุกชนิด ส่วนเด็กอายุเกิน 2 ปีขึ้นไป ควรจำกัดเวลาไม่ให้เกินวันละ 1 ชั่วโมง และอาจกำหนดกติกาครอบครัวร่วมกัน เช่น ไม่ใช้หน้าจอระหว่างมื้ออาหาร หรือหลีกเลี่ยงหน้าจอก่อนนอนอย่างน้อย 1 ชั่วโมง
  2. เพิ่มเวลาคุณภาพระหว่างพ่อแม่และลูก พ่อแม่ควรมีส่วนร่วมกับลูกมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเล่น พูดคุย หรือโต้ตอบกันบ่อย ๆ เพื่อสร้างปฏิสัมพันธ์แบบ Two-way Communication เช่น ถามตอบ หรือสนทนาอย่างสม่ำเสมอ เพื่อกระตุ้นพัฒนาการด้านภาษา การเข้าสังคม และอารมณ์
  3. ชวนลูกทำกิจกรรมอื่นแทนการดูจอ หาวิธีให้เด็กได้เรียนรู้จากโลกจริง เช่น พาไปเที่ยว พบปะผู้คน เล่นกับเพื่อนวัยเดียวกัน หรือเสริมทักษะผ่านการเล่น เช่น ต่อบล็อก ระบายสี อ่านนิทาน เตะบอล ขี่จักรยาน หรือกิจกรรมกลางแจ้งอื่น ๆ เพื่อให้เด็ก ๆ ได้ใช้พลังงานและฝึกทักษะหลายด้านไปพร้อมกัน
  4. หลีกเลี่ยงการให้เด็กอยู่กับหน้าจอเพียงลำพัง ควรให้เด็กดูหน้าจอเฉพาะเวลาที่จำเป็น และต้องมีผู้ใหญ่ดูแล ไม่ควรเปิดคลิปให้นั่งดูเงียบ ๆ ต่อเนื่องเป็นเวลานาน เพราะจะลดโอกาสในการเรียนรู้จากการโต้ตอบในชีวิตจริง
  5. พูดคุยกับลูกเป็นประจำเพื่อกระตุ้นพัฒนาการภาษา ชวนลูกคุยเรื่องง่าย ๆ ด้วยน้ำเสียงอบอุ่น อธิบายสิ่งรอบตัว และเปิดโอกาสให้เด็กตอบโต้ สำหรับเด็กเล็กแนะนำให้พูดคุยโต้ตอบวันละ 30 นาที – 1 ชั่วโมง เพื่อกระตุ้นการพัฒนาสมองและทักษะภาษา
  6. สร้างพื้นที่ปลอดหน้าจอภายในบ้าน จัดมุมนั่งเล่นที่ไม่มีทีวีหรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ พร้อมของเล่นที่จับต้องได้ เช่น หนังสือนิทาน ของเล่นผ้า ของเล่นไม้ หรือบล็อกตัวต่อ เพื่อให้เด็กมีพื้นที่เรียนรู้ผ่านการเล่นอย่างอิสระและปลอดภัย

          สุดท้ายแล้ว การเลี้ยงลูกในยุคดิจิทัลไม่ได้หมายความต้องหลีกเลี่ยงหน้าจออย่างสิ้นเชิง แต่คือการเลือกใช้เทคโนโลยีอย่างเหมาะสมและมีคุณภาพ การที่เด็กได้รับสื่อหน้าจอมากเกินไปในวัยที่สมองกำลังพัฒนา อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะออทิสติกเทียมและกระทบต่อพัฒนาการด้านต่าง ๆ ได้ การลดเวลาหน้าจอควบคู่กับการเพิ่มปฏิสัมพันธ์กับเด็กอย่างใกล้ชิด ทั้งการพูดคุย เล่น และเรียนรู้ร่วมกัน ยังคงเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการส่งเสริมพัฒนาการและการเติบโตของเด็กในระยะยาว

SHARE

RELATED POSTS

ฤกษ์คลอดตามเวลาเกิดบอกนิสัยลูกน้อย ตรงแค่ไหนเช็กเลย! การได้ต้อนรับลูกน้อยลืมตาดูโลก ถือเป็นหนึ่งในช่วงเวลาสำคัญของครอบครัว…
ฝึกลูกให้รักสะอาดตั้งแต่เด็ก เริ่มแบบไหนดี!? การฝึกลูกให้รักสะอาดตั้งแต่เด็กไม่เพียงแต่ช่วยให้เขาทำความสะอาดบ้านเป็นหรือเสื้อผ้าไม่เลอะเทอะ แต่ยังส่งผลต่อสุขภาพกายและใจของเด็ก…