โรคหน้าร้อนในเด็ก

พ่อแม่ต้องระวัง! 6 โรคหน้าร้อนในเด็กส่งผลต่อสุขภาพลูกน้อย

          เมื่อเข้าสู่ฤดูร้อน อากาศที่ร้อนจัดมักมาพร้อมกับโรคบางอย่างโดยไม่ทันตั้งตัว ด้วยสภาพอากาศที่เหมาะกับการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียบางชนิดและแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว อาจทำให้เด็ก ๆ มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่าง ๆ มากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มเด็กเล็กที่มีภูมิคุ้มกันยังไม่สมบูรณ์ ทำให้ติดเชื้อหรือเจ็บป่วยได้ง่ายกว่าผู้ใหญ่ บทความนี้ Cotton Baby จะพาคุณพ่อคุณแม่ไปรู้จักกับ โรคหน้าร้อนในเด็ก ที่พบบ่อย พร้อมวิธีป้องกันและแนวทางดูแลรักษาที่ถูกต้องกัน!

โรคที่มากับหน้าร้อนพบบ่อยในเด็ก…

โรคหน้าร้อนในเด็ก-โรคอุจจาระร่วง

โรคอุจจาระร่วงและอาหารเป็นพิษ

          ด้วยอุณหภูมิของอากาศที่สูงขึ้นทำให้เชื้อโรคเติบโตเร็วขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรีย ทำให้อาหารเสียง่าย หรือมีเชื้อโรคปนเปื้อนในอาหารหรือน้ำดื่ม รวมถึงสิ่งของที่เด็ก ๆ ได้สัมผัส จึงเป็นสาเหตุสำคัญของอุจจาระร่วงรุนแรงในเด็กเล็ก นอกจากนี้การล้างมือไม่สะอาดก่อนกินอาหารหรือหลังใช้ห้องน้ำก็เป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เชื้อเข้าสู่ร่างกายได้ง่าย

อาการ : อาการของโรคอุจจาระร่วงในเด็กจะเริ่มจากการถ่ายเหลวหรือถ่ายเป็นน้ำมากกว่า 3 ครั้งต่อวัน อาจมีมูกเลือดร่วมด้วย เด็กบางคนอาจมีอาการไข้ คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง หากรุนแรงอาจทำให้เด็กขาดน้ำได้ ซึ่งสังเกตได้จากอาการปากแห้ง ตาโหล ซึม และปัสสาวะน้อย

วิธีดูแลและป้องกัน

  • ให้ดื่มเกลือแร่ (ORS) เพื่อชดเชยน้ำและเกลือแร่ที่เสียไป
  • หลีกเลี่ยงอาหารที่ย่อยยาก เช่น อาหารมัน หรืออาหารที่มีน้ำตาลสูง เพราะอาจกระตุ้นให้ถ่ายมากขึ้น
  • หากเด็กมีอาการรุนแรง เช่น ถ่ายเป็นน้ำบ่อยมาก อาเจียนไม่หยุด หรือมีภาวะขาดน้ำ ควรรีบพาไปพบแพทย์ทันที
  • ล้างมือให้สะอาดก่อนรับประทานอาหารและหลังใช้ห้องน้ำ
  • ดื่มน้ำสะอาดและหลีกเลี่ยงอาหารที่ไม่ผ่านการปรุงสุก
  • ฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสโรต้าในทารก
โรคหน้าร้อนในเด็ก-โรคฮีทสโตรก

โรคลมแดด หรือ ฮีทสโตรก (Heat Stroke)

          โรคลมแดดหรือฮีทสโตรกเกิดจากการที่ร่างกายได้รับความร้อนมากเกินไป โดยไม่สามารถระบายความร้อนออกได้ทัน ส่งผลให้อุณหภูมิร่างกายสูงเกิน 40 องศาเซลเซียล ซึ่งอาจเกิดขึ้นเมื่อเด็ก ๆ เล่นกลางแจ้งเป็นเวลานานในสภาพอากาศร้อนจัด โดยเฉพาะในช่วงฤดูร้อน โดยเด็กเล็กมีความเสี่ยงมากกว่าผู้ใหญ่เพราะระบบระบายความร้อนในร่างกายยังทำงานไม่ดี

อาการ : ตัวร้อนจัด อุณหภูมิร่างกายสูงขึ้นผิดปกติ เหงื่อออกน้อย หรือไม่มีเหงื่อออกเลย หัวใจเต้นเร็ว วิงเวียน อ่อนเพลีย เป็นผื่นแดง ๆ ตามตัว หากอาการรุนแรงเด็กอาจหมดสติหรือมีภาวะชักได้

วิธีดูแลและป้องกัน

  • รีบนำเด็กเข้าที่ร่ม และมีอากาศถ่ายเทสะดวก ถอดเสื้อผ้าและคลายเครื่องแต่งกายที่รัดแน่น
  • ให้เด็กนอนหงายและเช็ดตัว บริเวณคอ รักแร้ และขาหนีบ เพื่อลดอุณหภูมิในร่างกาย หากเด็กหมดสติหรืออาการไม่ดีขึ้น ให้รีบนำส่งโรงพยาบาลทันที
  • หลีกเลี่ยงการพาเด็กออกไปเล่นกลางแดดนานเกินไป โดยเฉพาะในช่วงแดดแรงจัด 10.00 – 16.00 น.
  • ให้เด็กดื่มน้ำบ่อย ๆ และสวมใส่เสื้อผ้าที่ระบายอากาศได้ดี หากต้องออกไปข้างนอกควรให้เด็กสวมหมวกหรือพกพัดลมพกพาเพื่อลดความร้อน
โรคหน้าร้อนในเด็ก-โรคผดร้อน

โรคผดร้อน

          โรคผดร้อนเกิดจากการอุดตันของต่อมเหงื่อใต้ผิวหนัง ทำให้เกิดการอักเสบและเป็นผื่นแดงหรือเม็ดตุ่มใส พบได้บ่อยในเด็กเล็กเพราะต่อมเหงื่อยังพัฒนาไม่สมบูรณ์ และมักเกิดขึ้นในสภาพอากาศร้อนชื้น โดยเฉพาะบริเวณที่มีเหงื่อออกมาก เช่น คอ หน้าอก หลัง และข้อพับ

อาการ : มีผื่นแดงหรือตุ่มน้ำใสขึ้นตามร่างกาย อาจรู้สึกคันหรือแสบ หากมีการติดเชื้อแบคทีเรียร่วมด้วย อาจเกิดตุ่มหนองและอักเสบได้

วิธีดูแลและป้องกัน

  • ดูแลให้บริเวณที่เกิดผดเย็นและแห้งอยู่เสมอ ซึ่งโรคนี้สามารถหายได้เองภายใน 2-3 วัน แต่หากมีอาการอักเสบรุนแรง ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที
  • ทาแป้งหรือโลชั่นที่ช่วยลดอาการระคายเคือง หลีกเลี่ยงการใช้สบู่ที่มีสารเคมีรุนแรง และครีมโลชั่นที่มีส่วนผสมของปิโตรเลียมเจลลี่เพราะจะทำให้รูขุมขนอุดตัน
  • สวมเสื้อผ้าบางสบาย ที่ระบายอากาศได้ดี
  • หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่ร้อนชื้นเป็นเวลานาน และอาบน้ำบ่อยขึ้นในช่วงอากาศร้อน
โรคหน้าร้อนในเด็ก-โรคไข้หวัดแดด

โรคไข้หวัดแดด

          โรคไข้หวัดแดดเป็นภาวะที่เกิดจากร่างกายปรับตัวไม่ทันเมื่อได้รับความร้อนจากแสงแดดเป็นเวลานาน ทำให้เกิดอาการคล้ายไข้หวัดทั่วไป แต่ไม่มีการติดเชื้อจากไวรัสหรือแบคทีเรียโดยตรง สาเหตุหลักของโรคนี้เกิดจากการที่ร่างกายสูญเสียน้ำและเกลือแร่จากการอยู่ในสภาพอากาศร้อนจัด ทำให้ระบบควบคุมอุณหภูมิทำงานผิดปกติ โดยเฉพาะเด็กเล็กมีความเสี่ยงสูงกว่าผู้ใหญ่ เนื่องจากร่างกายยังไม่สามารถควบคุมอุณหภูมิได้ดี

อาการ : เด็กที่เป็นไข้หวัดแดดจะมีอาการคล้ายไข้หวัดทั่วไป แต่ไม่มีน้ำมูกมากนัก อาการที่พบบ่อย ได้แก่ ไข้ขึ้นสูงแต่ไม่มีอาการไอหรือเจ็บคอ ทานยาลดไข้แล้วไข้ไม่ลด (เพราะไข้แดดเป็นไข้จากความร้อนสะสม) ปวดศีรษะ หน้ามืด อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร และอาจมีอาการท้องเสียร่วมด้วย ปัสสาวะเป็นสีเหลืองเข้ม ตาแห้ง ปวดแสบกระบอกตา เป็นสัญญานของร่างกายที่บอกว่าความร้อนสะสมในร่างกายมากเกินไป หากเด็กมีอาการนี้ควรรีบพาพบแพทย์ทันที

วิธีดูแลและป้องกัน

  • ให้เด็กดื่มน้ำบ่อย ๆ หรือเครื่องดื่มที่มีเกลือแร่เพื่อชดเชยของเหลวที่เสียไป และไม่ควรดื่มน้ำเย็นจัด เพราะจะทำให้ภายในร่างกายร้อนขึ้นกว่าเดิม
  • หลีกเลี่ยงการให้เด็กออกไปเล่นกลางแดดหรืออยู่ในที่อากาศร้อนจัด
  • ร่างกายต้องการปรับอุณหภูมิอย่างช้า ๆ ควรหลีกเลี่ยงการเข้า-ออก สถานที่ร้อน-เย็นบ่อย ๆ
  • สวมเสื้อผ้าบางเบา ระบายอากาศได้ดี หากต้องการออกไปกลางแจ้ง ควรสวมหมวกปีกกว้างเพื่อป้องกันแสงแดด
  • หากอาการไม่ดีขึ้นภายใน 1-2 สัปดาห์ ควรไปพบแพทย์
โรคหน้าร้อนในเด็ก-โรคพิษสุนัขบ้า

โรคพิษสุนัขบ้า

           โรคพิษสุนัขบ้า หรือ โรคกลัวน้ำ เป็นอีกหนึ่งโรคที่มักเกิดในช่วงหน้าร้อน เนื่องจากอากาศที่ร้อนอบอ้าว ส่งผลให้สัตว์มีความดุร้ายมากขึ้น ซึ่งโรคนี้เกิดจากเชื้อไวรัส (Rabies Virus) ผ่านการถูกสุนัขหรือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมกัด ข่วน หรือเลียแผลเปิด หากเชื้อเข้าสู่ระบบประสาทอาการจะรุนแรงและอาจทำให้เสียชีวิตได้

อาการ : เมื่อได้รับเชื้อเข้าไปแล้วอากาศจะยังไม่แสดงออกทันที โดยผู้ป่วยจะเริ่มแสดงอาการประมาณ 3 สัปดาห์ไปจนถึง 3 เดือนหลังได้รับเชื้อ ในบางรายอาจใช้เวลาร่วมปีกว่าที่เชื้อโรคพิษสุนัขบ้าจะแสดงอาการ โดยอาการเริ่มแรกจะเริ่มมีไข้ต่ำ ๆ ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย ต่อมาผู้ป่วยอาจรู้สึกคันหรือปวดแปลบที่บริเวณแผล หากเชื้อเข้าสู่สมอง อาจมีอาการกลัวน้ำ กลัวลม กล้ามเนื้อกระตุก และหมดสติได้

วิธีดูแลและป้องกัน

  • หากเด็กถูกสัตว์กัดให้รีบล้างแผลด้วยน้ำสะอาดและสบู่ทันที ให้สะอาดลึกถึงก้นแผลประมาน 15 นาที และใส่ยาฆ่าเชื้อ เช่น กลุ่มยาโพวิโดนไอโอดีน (Povidone-iodine) แล้วรีบพาไปฉีดวัคซีนป้องกันพิษสุนัขบ้า
  • นำสัตว์เลี้ยง เช่น สุนัข แมว ไปฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า จนครบตามจำนวนเข็มที่สัตวแพทย์กำหนดและฉีดซ้ำทุกปี
  • หากสัตว์ที่กัดมีเจ้าของให้ถามประวัติการฉีดวัคซีนพิษสุนัขบ้า และคอยสังเกตอาการของสัตว์ที่กัดอย่างน้อย 10 วัน เพื่อให้แน่ใจว่าสัตว์ไม่มีอาการโรคพิษสุนัขบ้า
  • ดูแลและป้องกันไม่ให้เด็กเล่นกับสัตว์ที่ไม่รู้ประวัติ
โรคหน้าร้อนในเด็ก-โรคไวรัสตับอักเสบ A

โรคไวรัสตับอักเสบ A

          โรคนี้เกิดจากการติดเชื้อ Hepatitis A Virus (HAV) ซึ่งแพร่ผ่านการกินอาหารหรือน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อ เช่น การกินอาหารที่ปรุงสุกไม่ดี หรือจากการสัมผัสสิ่งสกปรกที่มีเชื้อ

อาการ : เริ่มจากมีไข้ อ่อนเพลีย คลื่นไส้ ปวดท้อง และเบื่ออาหาร หลังจากไข้ลดแล้วจะมีอาการตัวเหลือง ตาเหลือง หากพบว่าเด็กมีอาการตามนี้ ให้รีบนำส่งโรงพยาบาลโดยทันที

วิธีดูแลและป้องกัน

  • ให้เด็กกินอาหารที่ปรุงสุก สะอาด และใช้ช้อนกลาง
  • สอนลูกรักษาสุขอนามัยที่ดี เช่น ล้างมือก่อนกินอาหาร และหลังเข้าห้องน้ำเป็นประจำ
  • พาเด็กไปฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบ A

          หน้าร้อนอาจนำพาหลายโรคร้ายมาสู่เด็ก ๆ แต่คุณพ่อคุณแม่สามารถช่วยป้องกันได้นะคะ เพียงแค่ดูแลสุขอนามัยอย่างเข้มงวด หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยง และเฝ้าสังเกตอาการของลูกอย่างใกล้ชิด หากพบอาการผิดปกติ อย่ารอช้า ควรรีบพาไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษาอย่างทันท่วงที เท่านี้ลูกน้อยก็จะปลอดภัยและสนุกกับหน้าร้อนได้อย่างไร้กังวลแล้วค่ะ

SHARE

RELATED POSTS

ไข้อีดำอีแดง โรคติดต่อในเด็กที่พ่อแม่ไม่ควรละเลย! “ไข้อีดำอีแดง” กลับมาเป็นประเด็นที่น่ากังวลอีกครั้ง…