
ทำไมลูกน่ารักกับทุกคน ยกเว้นคนที่บ้าน!?
ทำไมเจ้าตัวเล็กกลับบ้านมาทีไรกลายร่างเป็นเด็กขี้โมโห พูดห้วน ไม่อยากคุย หนำซ้ำบางทีถึงขนาดหลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้กับคนที่บ้านอย่างเห็นได้ชัด ทั้งที่จริงแล้วคนในบ้านควรเป็นคนที่อยู่ด้วยแล้วสบายใจที่สุด หรือคำว่า ‘บ้าน’ ในสายตาลูกน้อยอาจไม่ได้ให้ความรู้สึกปลอดภัยหรืออบอุ่นอย่างที่ควรจะเป็น?
วันนี้เราขออาสาพาคุณพ่อคุณแม่มาไขข้อข้องใจของคำถามที่ว่า ‘ทำไมลูกน่ารักกับทุกคน ยกเว้น คนที่บ้าน?’ ด้วยเช็กลิสต์ 5 ข้อ ที่ทำให้เข้าใจว่าทำไมบ้านอาจไม่ใช่ Safe Zone ของเจ้าตัวเล็ก

เพราะบ้านไม่เคยให้พื้นที่ “ความสบายใจ”
เมื่อออกไปใช้ชีวิตนอกบ้าน เด็ก ๆ ต้องคอยเก็บอารมณ์ ต้องฝึกเป็นเด็กดีเพื่อเข้าสังคม ต้องพยายามเป็นเด็กเรียบร้อย มีมารยาท และต้องอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์มากมาย แน่นอนว่าการต้องปรับตัวอยู่ตลอดเวลาหลายครั้งก็ทำให้พวกเขาเหนื่อยล้า
เวลากลับมาถึงบ้านเด็ก ๆ ก็แค่อยากเล่นสนุก ผ่อนคลาย ทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำ แต่เมื่อจุดพักใจเดียวของพวกเขาเลือกที่จะดุแทนที่จะปลอบโยน เปรียบเทียบแทนที่จะให้กำลังใจ ตะโกนใส่แทนที่จะพูดคุยอย่างนุ่มนวล หรือแม้แต่การไม่ให้โอกาสเขาได้อธิบายเมื่อทำผิดในบางเรื่องและเลือกที่จะตัดสินว่าเขาผิดไปเลย ความเป็น Safe Zone ของคำว่า ‘บ้าน’ ก็อาจหายไป
เพราะบ้านสำหรับเขาจะไม่ใช่สถานที่สำหรับการพักผ่อน ไม่ใช่ที่สำหรับการเป็นตัวของตัวเอง ไม่ใช่ที่ที่จะเล่นสนุกได้ สุดท้ายเมื่อความสบายใจหายไป ความไว้วางใจก็ลดลง กลายเป็นแค่คนที่อาศัยอยู่ในบ้านหลังเดียวกัน แต่ไม่ใช่บ้านของกันและกันอีกต่อไป
คนในบ้านมักสร้างบรรยากาศ “ไม่น่าคุย”
หลายครอบครัวอาจเผลอพูดคุยและตัดสินกัน ไม่ได้รับฟังหรือปลอบโยนลูกจากปัญหาที่เขาถ่ายทอดออกมา ซึ่งคำพูดเหล่านั้นก็มักเป็นคำคุ้นหูของหลายคน เช่น “เห็นไหม ลูกคนอื่นเขายังทำได้”, “ถ้าแค่นี้ก็ทำไม่ได้ โตไปจะไปทำอะไรกิน”, “อย่าเถียงผู้ใหญ่ เขาอาบน้ำร้อนมาก่อน”
คำพูดเหล่านี้ไม่ได้แค่ทิ่มแทงลงในจิตใจของลูก แต่ยังฝังรากลึกลงในความรู้สึกว่า “ฉันไม่ดีพอสำหรับคุณพ่อคุณแม่” และสุดท้ายพวกเขาก็มักจะเลือกเก็บตัว หรือพูดจาเหวี่ยงใส่ในแบบที่ดูเหมือนไม่เคารพ นำไปสู่ปัญหา ‘ลูกน่ารักกับทุกคน ยกเว้นคนที่บ้าน’ เพียงเพราะพวกเขาไม่รู้จะสื่อสารยังไงให้คุณพ่อ คุณแม่เข้าใจ
หากเคยพูดจาทำร้ายจิตใจกันในอดีต และไม่เคยขอโทษ ไม่พูดกันด้วยใจจริง วันหนึ่งมันก็จะกลายเป็นกำแพงที่ลูกไม่อยากข้ามกลับมาอีก เด็กบางคนจึงเลือกจะเป็น “เวอร์ชันที่ดีที่สุด” กับคนอื่น และ “เวอร์ชันที่หมดพลัง” เมื่ออยู่กับคนที่เขารู้สึกว่าจะไม่มีวันเข้าใจ

ความสัมพันธ์ที่ “ละเลยกัน” จนเป็นความเคยชิน
“ไม่พูดก็รู้อยู่แล้วหรือเปล่าว่ารัก?” ในวันที่อ่อนล้าหลายครั้งลูกน้อยอาจรู้สึกโดดเดี่ยว เหมือนกำลังแบกโลกทั้งใบของเขาด้วยมือเล็ก ๆ สองข้าง ซึ่งบางทีแค่คำพูดบอกรักหรือคำปลอบโยนเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ช่วยให้เขามีแรงใจไปสู้กับเรื่องราวต่าง ๆ ต่อได้ ในเมื่อการพูดออกไปไม่ได้เสียเงินหรือเสียเวลามากนักก็ ไม่ควรละเลยกันในเรื่องนี้
ความสัมพันธ์ก็เหมือนการปลูกต้นไม้ เด็กแต่ละคนก็ต้องการได้รับการดูแลที่แตกต่างกันออกไป บางพันธุ์ก็ต้องรดน้ำ ต้องใส่ปุ๋ย ต้องดูแลมากเป็นพิเศษ บางพันธุ์ก็ไม่ได้ต้องการอะไรมาก ขอแค่รดน้ำให้ก็อยู่รอด เด็กบางคนต้องการคำปลอบโยน การบอกรัก ต้องมีเวลาให้เขา บางคนอาจต้องการแค่อาหาร 3 มื้อ ก็เพียงพอในแต่ละวัน
หากการพูดคุยอย่างอ่อนโยน ให้กำลังใจเมื่อต้องเจอช่วงเวลาที่ยากลำบาก และมั่นดูแลเจ้าตัวเล็กไม่ใช่เรื่องที่ยากเกินกำลัง ก็ควรจะทำอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ความสัมพันธ์แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ถึงแม้พวกเขาจะ ไม่เคยเรียกร้อง แต่การได้รับความรักความใส่ใจเป็นสิ่งที่เด็กทุกคนควรมีสิทธิ์ได้รับ เพื่อป้องกันไม่ให้ต้องเจอกับปัญหาลูกน่ารักกับทุกคน ยกเว้นคนที่บ้าน
เลือกที่จะ “ใช้อำนาจ” แทนความเข้าใจ
การใช้ความเป็นผู้ใหญ่ หรือผู้มีพระคุณในการบังคับให้ลูกทำในสิ่งที่ต้องการอย่างไม่มีเหตุผล จะทำให้พวกเขารู้สึกยอมรับคุณน้อยลงในฐานะผู้ใหญ่หรือคนในครอบครัว แต่จะมองว่าตัวเองโชคร้ายที่ต้องเกิดมาในครอบครัวแบบนี้
“เลี้ยงมาเสียข้าวสุก”, “เถียงคำไม่ตกฟาก” ตัวอย่างของคำพูดที่กดทับพวกเขาราวกับเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา ไม่ใช่คนในครอบครัว เด็กในยุคสมัยนี้ต้องการคนที่เคารพและฟังความคิดเห็นของพวกเขาอย่างเท่าเทียม หากสิ่งที่เขาทำมันผิดก็ควรอธิบายด้วยเหตุ ไม่ใช่ใช้อารมณ์เพื่อที่จะเอาชนะอย่างเดียว
หากไม่อยากให้ความสัมพันธ์ระหว่างคนในครอบครัวถอยห่างมากขึ้นทีละนิด จนลูกน่ารักกับทุกคน ยกเว้นคนที่บ้าน ก็ควรมอบพื้นที่ปลอดภัยในการแสดงความคิดเห็นให้เด็ก ๆ ด้วย เพราะนอกจากจะทำให้เข้าใจกันมากขึ้นแล้ว ยังเป็นสอนให้เขาได้รู้ว่าการรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นเป็นสิ่งที่พึงกระทำ

เพราะยิ่งรัก ก็ยิ่งควร “เคารพซึ่งกันและกัน”
บางครอบครัวก็มีแนวคิดว่า “ครอบครัวเดียวกัน จะพูดแรง ๆ หน่อยก็ไม่เป็นไร” แต่แท้จริงแล้วนี่คือความเข้าใจผิดที่ฝังรากลึกอยู่ในหลายครอบครัวของไทย ส่งผลให้เด็กบางคนถูกตะคอก ถูกเหน็บแนม หรือถูกล้อปมด้อย โดยคนในครอบครัวกันเอง ซึ่งหลายครั้งไม่ได้เกิดขึ้นเพราะตั้งใจทำร้ายจิตใจ เพียงแค่คิดว่า “แค่ล้อเล่น ทำไมต้องคิดมาก”
ในขณะที่คนอื่น ๆ นอกบ้านให้ความเคารพในตัวของพวกเขา ไม่ล้ำเส้น ไม่พูดจาแทงใจดำ และให้เกียรติแม้แต่ในเรื่องเล็กน้อย แต่คนในบ้านกลับมองข้ามเรื่องเหล่านั้น และมองว่าเด็ก ๆ งี่เง่า เมื่อมีอาการไม่พอใจกับคำพูดของคนที่บ้าน สุดท้ายเขาจึงเลือกคุยกับคนที่คุยด้วยแล้วสบายใจมากกว่า แทนที่จะเป็นคนที่บ้าน
ถึงแม้จะขึ้นชื่อว่าเป็นคนในครอบครัว แต่การที่ใช้ความสนิทสนมมาเป็นเหตุผลในการละเมิดขอบเขต หรือมองข้ามความรู้สึกของลูก จะทำให้จากความรู้สึกรักกลายเป็นคนที่ลูกไม่อยากอยู่ใกล้ เพราะรู้สึกถึงความอึดอัดและลำบากใจเสียมากกว่า จนสุดท้ายก็อาจต้องเจอกับปัญหาลูกน่ารักกับทุกคน ยกเว้นคนที่บ้าน

3 วิธีทำให้ลูกกลับมาน่ารักกับคนที่บ้าน?
ฟังโดยไม่ขัด
อาจมีหลายครั้งที่เด็ก ๆ พยายามจะพูดสิ่งที่อยู่ในใจ แต่กลับถูกขัดกลางประโยคด้วยคำว่า “ไม่ใช่!”, “อย่าพูดแบบนั้น!” หรือ “ไปเล่นกับคนอื่นก่อนไป” การขัดลูกระหว่างที่เขากำลังพูด เปรียบเหมือนการปิดประตูใส่ความรู้สึกของพวกเขาแบบต่อหน้า ไม่ใช่แค่เขาไม่ได้พูดจนจบ แต่มันสื่อว่าความรู้สึกของพวกเขาไม่มีความสำคัญกับคุณ
การทำแบบนี้กับลูกในระยะยาวทำให้พวกเขาเรียนรู้ว่า “ไม่ควรพูด” กับคนที่บ้าน เพราะไม่มีประโยชน์ ไม่มีใครฟังจริง ๆ การฟังโดยไม่ขัดไม่ใช่การเห็นด้วยกับทุกอย่างที่ลูกพูด แต่คือการให้พื้นที่ปลอดภัยแก่เขาในการแสดงตัวตน โดยไม่ต้องกังวลว่าจะโดนตัดบทหรือหักหน้า
ถามโดยไม่ตัดสิน
คุณพ่อคุณแม่หลายคนคิดว่าการถามคำถามต่าง ๆ กับลูกเป็นการแสดงความห่วงใย เช่น “วันนี้ได้ตั้งใจเรียนหรือเปล่า?” หรือ “เมื่อไหร่จะถึงบ้าน?” แต่สำหรับพวกเขาความรู้สึกที่ได้รับกลับเหมือนกำลัง “ถูกจับผิด” หรือ “ถูกคาดหวังให้ตอบถูกใจ” มากกว่า
การถามโดยไม่ตัดสิน คือการเปิดพื้นที่ให้เด็ก ๆ ตอบในสิ่งที่เขารู้สึกจริง ๆ ไม่ใช่ตอบในสิ่งที่เขาคิดว่า “คุณพ่อคุณแม่อยากได้ยิน” เช่น เปลี่ยนจาก “วันนี้ได้ตั้งใจเรียนหรือเปล่า?” เป็น “ช่วงนี้เหนื่อยมั้ย มีอะไรอยากให้ช่วยบ้างไหม?” การถามด้วยความเข้าใจอย่างไม่กดดัน จะช่วยให้ลูกรู้สึกปลอดภัย ถือเป็นจุดเริ่มต้นของบทสนทนาเชิงบวกในครอบครัว ป้องกันปัญหาลูกน่ารักกับทุกคน ยกเว้นคนที่บ้าน
ขอโทษอย่างจริงใจ
หนึ่งในสิ่งที่จะซ่อมแซมความสัมพันธ์ได้ แต่หลายคนกลับมองข้าม คือ การขอโทษอย่างจริงใจ ไม่ใช่แค่ “ขอโทษนะ แต่ที่พูดเพราะอยากให้ดี” หรือ “ขอโทษก็ได้ เรื่องแค่นี้จะโกรธอะไรนัก” เพราะการขอโทษที่พ่วงมาด้วยข้อแก้ตัว เหมือนเป็นการเปรยว่าตัวเองไม่ผิดอยู่ดี แต่ขอโทษให้เรื่องจบ ๆ ไป ซึ่งการกล่าวคำขอโทษอย่างจริงใจ คือการแสดงออกว่ารู้สึกผิดต่อสิ่งที่ทำลงไปจริง และยอมรับว่าตัวเองได้ทำร้ายความรู้สึกของลูกโดยไม่รู้ตัว
การขอโทษแบบนี้ไม่ได้ทำให้เสียหน้า แต่มันคือการสร้างหน้าใหม่ของความสัมพันธ์ ที่เท่าเทียม อ่อนโยน และเคารพซึ่งกันและกันอย่างแท้จริง
จุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ที่ดี อาจไม่ใช่การพูดอยู่ฝ่ายเดียว แต่คือ “การฟัง” บางทีลูกอาจไม่ได้เปลี่ยนไป แต่พวกเขาแค่ไม่สามารถ “เป็นตัวเอง” ได้ในบ้านเดิมของเขา
หากอยากให้ลูกกลับมาเปิดใจ น่ารัก และอยากใช้เวลากับครอบครัวอย่างมีความสุขเหมือนเมื่อก่อน ลองเริ่มจาก ฟังอย่างตั้งใจ ไม่ขัด ไม่ตัด ไม่ย้อนอดีต เพราะบางที “การรับฟังอย่างไม่ตัดสิน” อาจกลายเป็นกุญแจสำคัญที่จะเปิดประตูความสัมพันธ์บทใหม่ ให้หมดคำถามเรื่องทำไมลูกน่ารักกับทุกคน ยกเว้นคนที่บ้านแบบถาวร