ช่วยลูกปรับตัว พร้อมรับมืออย่างมั่นคงในวันที่พ่อแม่แยกทาง
การเลี้ยงลูกให้เติบโตอย่างมั่นคงและมีความสุขนั้นเป็นสิ่งสำคัญสำหรับพ่อแม่ทุกคน แต่เมื่อการที่พ่อแม่แยกทางกลายเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ลูกก็อาจจะต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงที่ไม่คุ้นเคย จนส่งผลกระทบต่ออารมณ์และจิตใจของลูกได้
จากสถิติของสำนักทะเบียนราษฎร กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ระบุว่าในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา อัตราการหย่าร้างเพิ่มขึ้นจนเกือบถึง 50% ของคู่ที่จดทะเบียนสมรส ทำให้การเลี้ยงดูเด็กในวันที่พ่อแม่แยกทางกันจึงเป็นประเด็นสำคัญของสังคม การสนับสนุนที่เหมาะสมและการสร้างความเข้าใจจากพ่อแม่และคนรอบข้างจึงเป็นสิ่งที่จะช่วยให้เด็กปรับตัวและรู้สึกมั่นคงได้ แม้สถานการณ์ครอบครัวจะเปลี่ยนไป
ดูแลใจลูกให้มั่นคงถึงแม้พ่อแม่แยกทาง
วางแผนล่วงหน้าก่อนพ่อแม่แยกทาง
ก่อนตัดสินใจแยกทางกัน พ่อแม่ควรจัดการและวางแผนด้านสิทธิในการดูแลบุตร การเงิน และการติดต่อกับลูกหลังพ่อแม่แยกทางให้เรียบร้อย โดยการตกลงควรคำนึงถึงประโยชน์ของลูกเป็นหลัก หากเป็นไปได้ควรหลีกเลี่ยงการฟ้องร้องในชั้นศาล เนื่องจากกระบวนการนี้อาจทำให้เกิดความเครียด ค่าใช้จ่ายสูง และใช้เวลานาน นอกจากนี้ พ่อแม่ควรมีการวางแผนว่าจะบอกกับลูกอย่างไร เพื่อให้ลูกได้รู้ล่วงหน้าว่าจะต้องอยู่กับใคร และมีโอกาสจะได้เจอกับพ่อหรือแม่ที่แยกตัวออกไปอีกเมื่อไหร่ ซึ่งการบอกให้ลูกรู้ล่วงหน้าจะเป็นการให้เวลาลูกได้ทำใจ และปรับตัวได้ดีขึ้น แต่ทั้งนี้ พ่อแม่ไม่ควรคาดหวังว่าลูกจะปรับตัวได้ในทันที
พูดความจริงเรื่องพ่อแม่แยกทาง แต่ให้พอดีกับวัยลูก
เมื่อถึงเวลาที่ต้องบอกความจริงกับลูก ควรอธิบายให้ลูกเข้าใจด้วยภาษาที่เหมาะสมกับวัยว่าทำไมพ่อแม่แยกทางกัน และย้ำว่าการตัดสินใจหย่าร้างเป็นเรื่องระหว่างพ่อแม่ ไม่ใช่ความผิดของลูก เพื่อไม่ให้ลูกรู้สึกผิดหรือโทษตัวเอง พร้อมทั้งย้ำให้ลูกมั่นใจว่าพ่อแม่ยังคงรักและดูแลลูกเหมือนเดิม แม้ว่าจะไม่ได้อยู่ด้วยกันแล้ว การสัมผัสอย่างอ่อนโยนหรือใช้เวลาร่วมกันก็เป็นอีกวิธีที่จะช่วยให้ลูกรู้สึกมั่นคงมากขึ้น หากลูกมีคำถามหรือแสดงความกังวลใจควรตอบคำถามอย่างซื่อสัตย์และเปิดใจ เพราะความรักและความเข้าใจจะช่วยให้ลูปรับตัวกับสถานการณ์ได้ดียิ่งขึ้น
เปิดโอกาสให้ลูกได้แสดงความรู้สึกอย่างซื่อตรงต่อการที่พ่อแม่แยกทาง
ความรู้สึกสับสน เศร้า หรือสูญเสียเป็นเรื่องปกติสำหรับเด็กเมื่อต้องเผชิญกับการแยกทางของพ่อแม่ การเปิดโอกาสให้ลูกได้พูดคุยและแสดงความรู้สึกจะช่วยให้ลูกได้ระบายอารมณ์ และเป็นวิธีการที่จะแสดงให้ลูกเห็นว่ายังได้รับการสนับสนุนจากพ่อแม่เหมือนเดิม แต่ถ้าหากลูกมีความรู้สึกเหล่านี้เป็นเวลานานหรือกลายเป็นปัญหา ควรพาลูกไปพบผู้เชี่ยวชาญเพื่อขอคำปรึกษาเพิ่มเติม
สร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยในช่วงพ่อแม่แยกทาง
หลังจากที่พ่อแม่แยกทางกัน การสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและมั่นคงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ลูกสามารถปรับตัวได้ดีขึ้น ดังนั้น ควรรักษากฎเกณฑ์และกิจวัตรประจำวันต่าง ๆ เช่น เวลาเรียน เวลากินข้าว หรือเวลานอนให้คงเดิม เพื่อให้ลูกมีความรู้สึกถึงความมั่นคงและความคุ้นเคย การเปลี่ยนแปลงสิ่งใดสิ่งหนึ่งควรทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป เช่น การเปลี่ยนแปลงสถานที่พักอาศัยหรือการเพิ่มกิจกรรมในชีวิตประจำวัน โดยควรคำนึงถึงความพร้อมของลูกเป็นสำคัญ เพื่อลดความเครียดและช่วยเสริมสร้างความมั่นคงในจิตใจของลูก ให้รู้สึกว่าถึงแม้ว่าสถานการณ์ครอบครัวจะเปลี่ยนไป แต่ลูกยังคงมีชีวิตประจำวันที่คุ้นเคยและมีผู้ใหญ่คอยสนับสนุน
เปิดโอกาสให้ลูกได้รักทั้งสองฝ่ายแม้ว่าพ่อแม่แยกทางกัน
การให้ลูกเลือกข้างระหว่างพ่อหรือแม่เพื่อพิสูจน์ว่ารักใครมากกว่ากันนั้นเป็นการกดดันและสร้างความขัดแย้งในใจเด็กเป็นอย่างมาก เพราะไม่อยากทอดทิ้งใคร ดังนั้น พ่อแม่จึงควรหลีกเลี่ยงการตำหนิอีกฝ่ายและแสดงความรู้สึกด้านลบต่อกันให้ลูกเห็นทั้งช่วงก่อนและหลังพ่อแม่แยกทางกัน เพื่อรักษาสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยให้กับลูก อีกทั้งยังไม่ควรให้ลูกเป็นสื่อกลางในการสื่อสารระหว่างพ่อแม่ แต่เป็นไปได้ควรสนับสนุนให้ลูกมีความสัมพันธ์ที่ดีกับทั้งพ่อและแม่ เพื่อให้เด็กรู้สึกมั่นคงและอบอุ่นในความรักของครอบครัว
แม้ว่าวันหนึ่งความสัมพันธ์ของสามีและภรรยาจะจบลง แต่บทความเป็นพ่อแม่ก็ยังคงดำเนินต่อไป การดูแลและสนับสนุนลูกให้ก้าวผ่านช่วงเวลาที่พ่อแม่แยกทางกันนั้นเป็นสิ่งสำคัญในการช่วยให้ลูกเติบโตอย่างแข็งแรงทั้งทางกายและใจ ด้วยความมั่นใจว่าความรักและเอาใจใส่จะไม่เปลี่ยนไป ถึงแม้จะมีการเปลี่ยนแปลง